Lifestyle

อารมณ์เซน?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อารมณ์เซน? : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

              บ่ายวันหนึ่ง อากาศกำลังเย็นสบาย ผู้เขียนมีโอกาสมาเยี่ยมคารวะ ปราชญ์ผู้เฒ่า ธีรทาส หรือ อาจารย์ธีระ วงศ์โพธิ์พระ แห่งโรงเจเป้าเก็งเต๊ง บ่อนไก่ กรุงเทพฯ เจ้าของงานเขียนคลาสสิก “ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น” กะว่า วันนี้ขอเล่นบทเป็น “ศิษย์โง่” ให้ท่านเคาะสนิมหน่อย

              คุณลุงธีรทาส ... ผู้เฒ่าวัย ๘๘ ปี แต่เดินเหินอย่างคล่องตัว แม้จะใช้ไม้เท้าประคองก็ตาม สมองและความทรงจำว่องไว ไม่แพ้คนวัย ๔๐ เดินมากล่าวต้อนรับและ ชวนนั่ง ตั้งวงสนทนา (ซึ่งมีอยู่ ๒ คน) ด้วยความเป็นกันเอง ไม่ต้องมีหัวข้อหรือประเด็นอะไร เพียงปล่อยให้การสนทนานั้นไหลไปตามอารมณ์เซน … ตลอดชั่วโมงกว่านั้น ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายฟังท่านเล่า ตั้งแต่ รุ่นคุณพ่อ คุณลุง หนีร้อนจากจีนมาพึ่งเย็นในไทย ประวัติศาสตร์ราชวงศ์จีน ตำรายา กรรมวิธีแพทย์ลึกลับ การถอนฟันโดยไม่ปวด (แบบไม่มียาชา) การสกัดจุดห้ามเลือด ฯลฯ ไปกระทั่งถึง ‘ธรรมะ’ ในที่สุด

              การได้เสวนากับนักปราชญ์ มักสร้างแรงบันดาลใจเสมอ ผมคุยกับท่านก็นึกถึง จิตคนเราที่ตื่นแล้ว จะมีคุณสมบัติที่สามารถรองรับ “อารมณ์” ได้ใน ๓ ระดับ

              ๑.ไม่หลงอารมณ์ ... ผู้ที่ตื่นแล้วทั้งหลาย มิได้จำกัดแต่เฉพาะชาวพุทธเท่านั้น จะมี “สติ” ไม่หลงโลก ไม่คล้อยตามไปกับอารมณ์ทั้งหลายได้ ครูบาอาจารย์ว่า โลกคืออารมณ์-อารมณ์คือโลก มิใช่จิต คนส่วนมากที่ยังหลับอยู่นั้น มักจะแยกไม่ออก คิดว่า จิตกับอารมณ์เป็นตัวเดียวกัน ที่จริง อารมณ์นั้น เป็นแค่เพียงอาคันตุกะ ที่แวะมาเยี่ยมเยือน เรือนจิต ของเราเท่านั้นเอง เพียงแต่ วันหนึ่งๆ มันมาบ่อยไปหน่อย มาในรูปแบบต่างๆ นานา ทั้งอารมณ์ที่เราชอบใจ พาจิตเราให้เพลินไปกับมัน เช่น กามราคะ ความดีใจได้ปลื้ม และอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ ความโมโหโกรธา อาฆาตพยาบาท หรือ ริษยา เป็นต้น ผู้ที่จิตตื่นแล้วในระดับนี้ จะมองเห็นภัยในพายุอารมณ์เหล่านั้นได้ แม้จะไม่สามารถเอาชนะมันได้ทุกครั้ง แต่อย่างน้อยก็ไม่หลงไปกับมัน ไม่หลงโลก ไม่หลงอารมณ์ ดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุข เสมือน นั่งอยู่ในปากงูพิษยักษ์ แต่ไม่ถูกเขี้ยวของมัน

              ๒.รู้เท่าทันอารมณ์...ผู้ตื่นในระดับนี้ จะมี “สติ” ที่แก่กล้ามากขึ้น ว่องไวขึ้น ดั่งศรของอรชุน นอกจากจะมองเห็น “อารมณ์” หรือกิเลสเหล่านั้นแล้ว ยังสามารถเล็งศรยิงอาคันตุกะที่มารังควานเรือนจิตได้แบบทันท่วงทีอีกด้วย...จะกระทำได้เช่นนี้ ต้องผ่านการฝึกฝนจิต เจริญตามมรรคาแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอย่างสม่ำเสมอ หากแต่ต้องไม่เผลอไผลแม้แต่น้อย จำเป็นต้องคอยเฝ้าระวัง ไม่ให้เกิดผัสสะโง่ ไม่ให้เพลินเวทนา อยู่ตลอด กล่าวคือยังมีโอกาสพลาดอยู่ หากประมาท ดั่งโศลกท่านชินเชา ศิษย์ผู้พี่ฮุ้ยเหนิง (ท่านเว่ยหลาง) ธรรมะระดับโลกียธรรมที่ว่า ...

              กาย คือต้นโพธิ์

              จิต เหมือนดั่งกระจกเงาใส

              ทุกๆ เวลาต้องหมั่นปัดเช็ดถู

              มิให้ฝุ่นละอองจับลง

              คือยังไงก็ต้องคอยเช็ดถูฝุ่นละออง หากละเลย ก็จะสกปรก เกรอะกรังจนได้ (กะพริบตาไม่ได้เลย)

              ๓.ไม่มีอารมณ์...ผู้ที่มีจิตตื่นระดับนี้ ถือเป็นระดับสูงสุด บางวลี ถึงกับกล่าวไว้เลยว่า ไม่มีอารมณ์ ก็เป็นนิพพานเลยทีเดียว ไม่รู้จะอธิบายความ “ไม่มีอารมณ์” ชนิดนี้อย่างไรดี นอกจากจะอัญเชิญโศลกแก้บทก่อน โดยท่านเว่ยหลาง (สังฆปริณายกแห่งเซนองค์ที่ ๖ ของจีน) ว่า ...

              โพธิ์เดิม หามีต้นไม่

              กระจกเงาใส มิใช่แท่น

              เดิมทีไม่มีแม้แต่สิ่งหนึ่ง
             
              แล้วฝุ่นละอองจะจับลงตรงที่ใดเล่า?

              (ไม่ต้องเฝ้าระวังแล้ว วันทั้งวันไม่ต้องทำอะไร Free is now เป็นอิสระแล้วโว้ย!)

              ถือว่าเป็นระดับ อตัมมโย หรือผู้ที่เข้าถึงสภาวะอตัมมยตาแล้วทีเดียว เป็นดวงจิตที่มิอาจมีเหตุปัจจัยใดมาปรุงแต่งให้เกิดการกระเพื่อมได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเอง ใครอยากบรรลุได้ถึงขั้นนี้ ต้องทำให้ได้อย่างพระเซนธุดงค์รูปนี้นะครับ

              ลองฟังนิทานเซน “Is that so?” ที่เล่าโดยท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ เรื่องนี้ดูก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่า อ่านจบแล้วท่านจะทำได้ไหม?

              ณ สำนักเซน ของอาจารย์ เฮ็กกูอิน ซึ่งเป็นวัดที่เลื่องลือมาก เป็นเหมือนกับว่า เป็นที่พึ่งของหมู่บ้าน ที่ร้านชำใกล้ๆ วัดนั้น มีหญิงสาวสวยคนหนึ่ง เป็นลูกเจ้าของร้าน ทีนี้ โดยกะทันหัน ปรากฏว่ามีครรภ์ขึ้นมา พ่อแม่เขาพยายาม คะยั้นคะยอถาม ลูกสาวก็ไม่บอก แต่เมื่อถูกบีบคั้นหนักเข้า ก็ระบุชื่อ ท่านอาจารย์ เฮ็กกูอิน เมื่อหญิงสาวคนนั้นระบุอาจารย์เฮ็กกูอินเป็นบิดาของเด็กที่อยู่ในครรภ์ พ่อแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไปที่วัด แล้วก็ไปด่าท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ด้วยสำนวนโวหารของคนที่โกรธที่สุดที่จะด่าได้อย่างไร…ท่านอาจารย์ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากว่า “Is that so?” คือว่า “อย่างนั้นหรือ”

              สองคนด่าจนเหนื่อย ไม่มีเสียงจะด่า ไม่มีแรงจะด่า ก็กลับไปบ้านเอง ทีนี้ พวกชาวบ้านที่เคยเคารพนับถือ ก็พากันไปด่าว่าเสียที ที่เคยนับถือ อย่างนั้น อย่างนี้ ท่านก็ไม่มีประโยคอะไรที่จะพูด นอกจากว่า “Is that so?” พวกเด็กๆ ก็ยังพากันไปด่าว่า พระบ้า พระอะไร สุดแท้แต่ ที่จะด่าได้ ตามภาษาเด็ก ท่านก็ว่า “Is that so?” ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

              ต่อมา เด็กคลอดออกมาจากครรภ์ บิดามารดาที่เป็นตายายของเด็ก ก็เอาเด็กไปทิ้งไว้ให้ท่านอาจารย์ เฮ็กกูอินในฐานะเป็นการประชด หรือ อะไรก็สุดแท้ว่า “แกต้องเลี้ยงเด็กคนนี้” ท่านอาจารย์ เฮ็กกูอิน ก็มีแต่ “Is that so?” ตามเคย

              ท่านรับเด็กไว้ และต้องหานม หาอาหารของเด็กอ่อนนั้น จากบุคคลบางคน ที่ยังเห็นอกเห็นใจ ท่านอาจารย์ เฮ็กกูอินอยู่ พอเลี้ยงเด็กนั้นให้รอดชีวิต เติบโตอยู่ได้ ทีนี้ ต่อมานานเข้า หญิงคนที่เป็นมารดาของเด็กเหลือที่จะทนได้ มันเหมือนกับไฟนรก เข้าไปสุมอยู่ในใจ เพราะเขาไม่ได้พูดความจริง ฉะนั้น วันหนึ่ง เขาจึงไปสารภาพบอกกับบิดามารดาของเขาว่า บิดาที่แท้จริงของเด็กนั้น คือ เจ้าหนุ่มร้านขายปลา

              ทีนี้ บิดามารดา ตายายคู่นั้น ก็มีจิตใจ เหมือนกับนรกเผาอยู่ข้างใน อีกครั้งหนึ่ง รีบวิ่งไปที่วัด ไปขอโทษ ขอโพย ต่ออาจารย์เฮ็กกูอิน ขอแล้ว ขอเล่าๆ เท่าที่จะรู้สึกว่า เขามีความผิดมากอย่างไร ก็ขอกันมากมายอย่างนั้น ท่านก็ไม่มีอะไร นอกจาก Is that so? แล้วก็ขอหลานคนนั้น คืนไป ต่อมา พวกชาวบ้านที่เคยไปด่าท่านอาจารย์ ก็แห่กันไปขอโทษอีก เพราะความจริงปรากฏขึ้น เช่นนี้ ขอกันใหญ่ ไม่รู้กี่สิบคน ขอกันนานเท่าไร ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจาก Is that so? อีกนั่นเอง

              นิทานเซน เรื่องนี้จึงจบลงเท่านี้

              จุดยืนที่ชัดเจนของคุณลุงธีรทาส ผู้ที่ใช้โรงเจ เป็นดั่งสำนักงานเผยแผ่ธรรมมาร่วม ๕๐ ปี การช่วยเยียวยาผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งทางกายและใจนี้ คือ ภารกิจแห่งการบำเพ็ญของปุถุชนโพธิสัตว์บารมีอย่างแท้จริง ท่านกำลังเรียบเรียงตำราอีกเล่ม เห็นท่านว่าจะเป็นเล่มสุดท้ายในชีวิต ก่อนจะตาย คาดว่าจะพิมพ์เสร็จสมบูรณ์ได้ภายในกลางปี พ.ศ.๒๕๕๙ ...

               สาธุชนท่านใด อยากร่วมสมทบทุน ร่วมเผยแผ่ธรรมทาน ก็ไปบริจาคได้ที่ โรงเจ บ่อนไก่ ถ. พระราม ๔ อยู่ใกล้ๆ ในกรุงเทพฯ นี้เอง...อนุโมทนาด้วยครับ

              สำหรับท่านที่ต้องการอ่านหนังสือชุด ‘ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น’ เขียนไปรษณียบัตรถึง ชมรมธรรมทาน เป้าเก็งเต๊ง 231/1 ซอยปลูกจิต 2 กรุงเทพฯ 10330 แล้วอย่าลืมเขียนที่อยู่ของท่านไว้ด้วย เพื่อการจัดส่งเป็นธรรมทาน

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ