"สิริพงศ์" หนุนสุดตัวแบน 3 สารเคมี ชูไอเดีย"ระบบสืบค้นย้อนกลับ" ยันแหล่งที่มาสินค้าเกษตรปลอดภัย
14 ก.ย.62- “พาราควอต,ไกลโฟเซต,คลอร์ไพริฟอส “คือสามสารเคมีที่ใช้กับวงการเกษตรซึ่งหนึ่งในสามประเทศทั่วโลก”แบน”สามสารเคมีตัวนี้ หลายชาติจำกัดการใช้ เพราะผลการศึกษาและข้อเท็จจริงบ่งชี้มาแล้วว่า”เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม”
รัฐบาลชุดที่แล้วพยายามที่จะแบนสามสารเคมีเหล่านี้แต่ยังยืดเยื้อ และเมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามา หลายภาคส่วนในสังคมก็มาเรียกร้องให้แบนสามสารเคมีดังกล่าว โดยสร.1 ชี้แล้วว่าสิ้นปีนี้ต้องได้ข้อสรุปและมีแนวโน้มที่จะห้ามใช้สามสารเคมีดังกล่าวในเมืองไทย แต่รมต.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงคือ”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข รวมทั้งมนัญญา ไทยเศรษฐ รมช.เกษตรและสหกรณ์”ต่างยืนยันตรงกันว่า สิ้นปีนี้สามสารเคมีดังกล่าวต้องยุติการใช้อย่างถาวรในประเทศ โดยทั้งสองคนยืนยันในการแบนสามสารเคมีนี้หลายครั้ง
“สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” ส.ส.ศรีษะเกษเขตหนึ่ง พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า แนวทางที่รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้นั้น ตนสนับสนุนเพราะพื้นที่ของตนนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม และตนติดตามเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ปฎิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมาจนวันนี้เกษตรกรและผู้บริโภครับสารพิษจากการใช้สารเคมีในแวดวงเกษตรกรรม ดังนั้น เมื่อรัฐบาลนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการว่าสารเคมีใดที่มีพิษต้องยุติการนำเข้าและการบังคับใช้อย่างจริงจัง
สิริพงศ์กล่าวว่า สิ่งที่ต้องบอกสังคมคือทำอย่างไรการแบนสามสารเคมีข้างต้นให้กระทบวิถีชีวิตและต้นทุนของเกษตรกรน้อยที่สุด เพราะเวลาที่ตนไปพบประชาชนเพื่อชี้แจงในเรื่องนี้ ประชาชนที่ทำอาชีพเกษตรกรมักถามตนว่าสารเคมีใหม่ที่จะนำมาใช้แทนนั้นต้นทุนเท่าใด ประสิทธิภาพเท่าใด
“ผมมองว่าหากเร็วๆนี้มีการควบคุมเรื่องนี้ขึ้น ตลาดมืดจะเกิดขึ้นมาทันทีและมีการลักลอบใช้ตรงนี้คืออีกปัญหาหนึ่ง จนพวกเรามาคิดกันว่า จะแก้ไขอย่างไรแล้วได้ข้อสรุปว่า ระยะแรก เราควรมีคำตอบให้ชาวบ้านว่าเมื่อยกเลิกการใช้สามสารเคมีนี้แล้วจะมีสิ่งใดทดแทน โดยต้องไปชี้แจงว่าต้นทุนและโทษว่าน้อยกว่าอย่างไร
ระยะกลางคือ ในอดีตเกษตรกรมักเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวและใช้สารเคมีเดียว แต่ในทางวิชาการนั้นการปลูกพืชต้องหมุนเวียนการปลูกและเปลี่ยนการใช้ยาในไร่นา แต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่ เพราะส่วนใหญ่เกษตรกรมักปลูกพืชเชิงเดี่ยวติดต่อกันยาวนาน เช่นปีที่หนึ่ง เมื่อปลูกพืชชนิดหนึ่งและใช้สารเคมี”เอ” กำจัดศัตรูพืชแล้วได้ผล ปีต่อมาก็ทำแบบเดิม แต่ประสิทธิภาพลดลง เกษตรกรก็ใช้สารเคมีเพิ่ม ปีต่อมายังทำแบบเดิม และใช้สารเคมีเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตกลับลดลงมามากเพราะศัตรูพืชเริ่มดื้อยาแล้ว หากไม่ได้ผลปีหน้าเกษตรกรก็ปลูกพืชตัวเดิมเพียงแต่เปลี่ยนสารเคมีใหม่ ดังนั้น วันนี้เมื่อมีการเสนอแก้ไขปัญหาให้เกษตรกร แต่แผนระยะกลางไม่มี ในวงรอบสามถึงสี่ปีข้างหน้ารัฐบาลใหม่ก็ต้องคุยเรื่องนี้ใหม่ไปเรื่อยๆ ดังนั้นแผนระยะกลางนี้ต้องทำให้จริงจัง โดยทุกฝ่ายต้องมาร่วมมือโปรโมทกันและติดตามผลงาน
ระยะยาวคือไม่ว่า นโยบายใดๆของรัฐบาลที่จะออกมาเกี่ยวกับการเกษตรนั้น มันเปรียบเสมือนการบังคับให้เกษตรกรดำเนินการ แบบนี้มันไม่ยั่งยืน ผมมองว่าต้องใช้วิธีสมัครใจเท่านั้น คำตอบที่ต้องไปบอกเกษตรกรให้เชื่อมั่นคือผลตอบแทนหรือราคาสินค้าเกษตรที่จำหน่ายต้องคุ้มค่า
ผมได้เสนอว่าวิธีที่ทำให้เกษตรกรรับรู้ว่า หากปลูกพืชที่ไร้สารเคมีหรือใช้สารเคมีลดลง ราคาสินค้าเกษตรนั้นๆจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน และแนวนโยบายแบ่งปันผลกำไรที่พรรคหาเสียงไว้และกำลังผลักดันเสนอเป็นกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณา หากสามารถนำมาใช้ได้ ผมเชื่อว่าน่าจะได้ผลดีในระยะยาว เกษตรกรอยู่ได้อย่างดี
อีกหนึ่งวิธีที่ผมจะเสนอใช้กับวงการเกษตรของบ้านเราคือ ระบบสืบค้นย้อนกลับ หมายความว่า การปลูกพืชแต่ละชนิดต้องรู้แหล่งที่มา แหล่งที่ปลูก สารเคมีที่ใช้ โดยต่างประเทศดำเนินการเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นในวันนี้เมืองไทยต้องดำเนินการวิธีนี้ด้วย และอย่าลืมว่าวันนี้วิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไป สมัยก่อนผู้ปกครองสอนเด็กๆว่าต้องกินผักเยอะๆจะได้แข็งแรง แต่วันนี้ผู้ปกครองไม่มั่นใจว่าผักที่นำมาปรุงอาหารนั้นมีสารเคมีมากน้อยเท่าใดและจะเป็นอันตรายกับคนในบ้านหรือไม่ หากใช้ระบบนี้ผู้บริโภคจะเชื่อมั่นสินค้าเกษตรของเราว่าปลอดภัย
ดังนั้นการที่ครม.จะดำเนินการเรื่องนี้ ผมสนับสนุน เพราะครม.ต้องยึดประโยชน์ของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญ และวันนี้จำเป็นต้องทำโดยไม่ควรคำนึงคนที่เสียประโยชน์ในเรื่องนี้เพียงไม่กี่คน ผมในฐานะส.ส.ก็ต้องเลือกในสิ่งที่เกิดประโยชน์กับสังคมสารเคมีหลายชนิดที่มีพิษแม้ไม่ได้บริโภค เพียงสัมผัสก็เกิดพิษแล้วนั้น มันต้องยกเลิกทันที” สิริพงศ์ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง