ข่าว

 สทนช.ประกาศปฏิญญา"วันน้ำโลก"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 สทนช.ประกาศปฏิญญา"วันน้ำโลก""น้ำดื่มสะอาด"ทุกหมู่บ้านทั่วไทยปี2030 

 
  
             ผ่านไปแล้วสำหรับงาน “วันน้ำโลกและสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ” ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี ปีนี้รัฐบาลโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) และหน่วยงานในเครือข่ายร่วมกันจัดขึ้น ณ ห้องเวสต์เกสต์ฮอลล์ ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกสต์ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยรองนายกรัฐมนตรี “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” เป็นประธานเปิดงาน โดยชูผลงานสำคัญการเกิด 4 เสาหลักบริหารน้ำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมตั้งเป้าเดินตามแผนแม่บทน้ำ 20 ปี เน้นน้ำกินน้ำใช้ครบ 7,490 หมู่บ้าน ในปี 2562


                 พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดงานโดยระบุว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาสำคัญของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยเหตุดังกล่าว ในปี 2535 องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จึงประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี เป็น “วันน้ำโลก” หรือ “World Water Day” ซึ่งแต่ละปีทุกประเทศทั่วโลกจะร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องน้ำแก่ประชาชน สำหรับในประเทศไทย รัฐบาลเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาน้ำของประเทศด้วยเป้าหมายหลักที่มุ่งพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเป็นการเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยอย่างรอบด้าน สร้างความแข็งแกร่งให้ยืนอยู่ได้ในเวทีโลกทั้งในระดับเศรษฐกิจและสังคม โดยน้อมนำหลักการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ควบคู่กับการน้อมนำแนวทางของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 “สืบสาน รักษา ต่อยอด” มาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำต่อยอดจากโครงการที่มีอยู่เดิม
              จากผลงานการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาของรัฐบาล ทำให้เกิด 4 เสาหลักที่สำคัญครั้งแรกที่สำคัญของประเทศและต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่ 1.การจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2558-2569) 2.การตราพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2562 3.การจัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลการบริหารจัดการน้ำของประเทศ และ 4.เพื่อให้การบริหารจัดการมีความยั่งยืน มุ่งพัฒนาประเทศตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงได้จัดตั้งเสาหลักที่ 4 ที่ว่าด้วยการนำองค์ความรู้ โดยใช้ศาสตร์พระราชา งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความรู้จากต่างประเทศ มาประยุกต์ใช้เป็นพื้นฐานการบริหารจัดการน้ำของประเทศด้วย
             รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่าในส่วนของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนาเป็นแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (2561-2580) เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประกอบด้วยแผนแม่บท 6 ด้าน ประกอบด้วย 1.การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ประชาชนทั้งในเมืองและชนบท มีน้ำอุปโภคและน้ำดื่มเพียงพอได้มาตรฐานสากล พร้อมจัดหาแหล่งน้ำสำรองอย่างเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม
             2.การสร้างความมั่นคงด้านน้ำสำหรับภาคการผลิต สามารถจัดหาน้ำเพื่อการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมได้อย่างสมดุลระหว่างน้ำต้นทุนและความต้องการรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำของแหล่งน้ำทุกประเภท และการจัดหาแหล่งน้ำให้แก่พื้นที่เกษตรน้ำฝน และพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่อุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 3.การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย มีระบบป้องกันน้ำท่วมและอุทกภัยที่มีประสิทธิภาพ ทั้งโครงสร้างและการบริหารจัดการ มีผังการระบายน้ำทุกระดับ การบริหารพื้นที่น้ำท่วมและพื้นที่ชะลอน้ำ ตลอดจนมีการบูรณาการเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำหลาก และน้ำท่วม ร่วมกับการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศล่วงหน้า ที่รวดเร็ว ชัดเจน และใกล้เคียงมากที่สุด 
             4.การจัดการคุณภาพน้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ โดยการฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีการจัดการให้ชุมชนขนาดใหญ่ มีระบบบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการจัดการโดยการป้องกันและลดน้ำเสียที่ต้นทาง 5.การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรม และป้องกันการพังทลายของดิน ป่าต้นน้ำได้รับการฟื้นฟู สามารถชะลอการไหลบ่าของน้ำ มีการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลาดชัน และ                   6.การบริหารจัดการ มีระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีธรรมาภิบาล ทันสมัย มีกฎหมาย ระเบียบ เกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ มีโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมในการบริหารจัดการน้ำทุกระดับ เน้นการบริหารจัดการน้ำในเชิงเตรียมการป้องกันภัยจากน้ำ การมีส่วนร่วมจากการสร้างการรับรู้ การร่วมคิด ร่วมทำแผนหลัก และแผนปฏิบัติการระดับลุ่มน้ำ และระดับจังหวัดสะท้อนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับพื้นที่ผู้ใช้น้ำ ลุ่มน้ำ และเชื่อมโยงไปถึงระดับนโยบาย ประกอบกับการมีระบบฐานข้อมูล ทรัพยากรมนุษย์ และงานวิจัยเพียงพอในการตัดสินใจและบริหารจัดการ
                 ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแผนแม่บทด้านที่ 1 คือ การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นด้านที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด มีกรอบการดำเนินการ 4 ประการ คือ 1.ต้องการให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงน้ำอุปโภคบริโภค โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2562 หมู่บ้านในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ 7,490 หมู่บ้าน จะต้องมีน้ำกินน้ำใช้ให้ครบทุกหมู่บ้าน รวมทั้งปรับปรุงระบบประปาเดิมที่ชำรุดเพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 2.มุ่งพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ได้มาตรฐาน โดยมุ่งยกระดับให้ถึงเกณฑ์การตรวจวัดตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2573 (SDGs) 3.พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพประปาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 404 เมือง 4.2 ล้านครัวเรือน รวมถึงการจัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุน และ 4.การประหยัดน้ำทุกภาคส่วน โดยส่งเสริมการลดการใช้น้ำในทุกภาคส่วน รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอุปโภคบริโภค เช่น การแก้ปัญหาความสูญเสียน้ำของระบบท่อ 
              “ปัจจุบันข้อจำกัดของการส่งน้ำด้วยระบบท่อ ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำระหว่างทางไปไม่น้อยกว่า 30% โดยรัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่า จะลดความสูญเสียของน้ำจากระบบท่อให้เหลือเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งจะทำให้สามารถลดการหาแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อทดแทนปริมาณน้ำที่สูญเสีย และจากการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กนช. ยังได้กำชับให้การประปาทุกแห่งต้องมีแหล่งน้ำสำรองของตัวเอง สำหรับผลิตน้ำประปาให้ได้อย่างน้อย 15 วัน เพื่อให้มีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอทั้งปีทุกพื้นที่ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศด้วย” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว 
 

             ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แจงรายละเอียดการจัดงาน “วันน้ำโลกและสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” ว่า ในปีนี้องค์การสหประชาชาติได้กำหนดประเด็นหลักในการรณรงค์ในระดับโลก คือ “Leaving no one behind” ขณะที่ประเทศไทยได้กำหนดแนวคิดเพิ่มเติมในการรณรงค์ระดับประเทศคือ “ทั่วถึง..เท่าเทียม.. เพียงพอ” โดย สทนช.ได้เชิญหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติดูแลเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการน้ำต้นทุน การผลิตและการกระจายน้ำ และหน่วยงานต่างประเทศ รวม 18 หน่วยงาน มาร่วมจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ

            โดยเฉพาะแผนแม่บทด้านที่ 1 ที่เป็นเรื่องการจัดการน้ำอุปโภคบริโภคเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และตระหนักถึงคุณค่าของน้ำ อันจะนำไปสู่การปฏิบัติในการร่วมกันประหยัดและใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า สร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน
              “คงต้องพึ่งหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญที่ีจะกระจายน้ำไปสู่ผู้บริโภค หน่วยงานเหล่านี้จะต้องแหล่งน้ำที่จะต้องใช้น้ำสะอาดและมีตลอดฤดูกาล ถ้าเราช่วยกันประหยัดน้ำจากก๊อกหรืออื่นๆ มันจะช่วยให้เราไม่ต้องสร้างแหล่งเก็บกักน้ำเพิ่มเติมที่สำคัญแหล่งน้ำทุกแหล่งจะต้องช่วยดูแลกันด้วย ขอยืนยันปีนี้ไม่น่าห่วงมากนัก แต่หวังว่าฤดูฝนนี้จะต้องเก็บน้ำให้มากที่สุดเพื่อแล้งหน้าต่อไปครับ”
               เลขาธิการสทนช. กล่าวบนเวทีเสวนา “ความท้าทายของการบริหารจัดการน้ำอุปโภคบริโภค” โดยมุ่งเน้นไปที่ ซัพพลายไซด์และดีมานด์ไซด์ เนื่องจากมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำโดยตรง ขณะที่ สทนช.เองจะต้องทำบัญชีทั้งสองอย่างด้วย ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติปี 2562 โดยจะให้ความสำคัญน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรก
              “น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคจะมีคนจัดการหลายๆ หน่วยงาน เช่น กปน. กปภ. ประปาท้องถิ่น ประปาภูเขา ประปาหมู่บ้าน จะเห็นว่าหลายๆ หน่วยงานมีมาตรฐานที่แตกต่างกันออกไป แต่เบื้องต้นจะทำอย่างไรให้ประปาเข้าถึงประชาชนก่อนให้ได้ อันดับแรกเรามุ่งไปที่ประปาท้องถิ่นที่มีจำนวนกว่า 1,500 หมู่บ้านเพื่อผลิตน้ำให้ได้คุณภาพก่อน ในปี 2030 ทุกพื้นที่ทั่วไทยทุกคนจะได้ดื่มน้ำสะอาดเหมือนกัน" เลขาธิการสทนช.กล่าวย้ำทิ้งท้าย
                 นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวในการบูรณาการหน่วยงานด้านน้ำ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีที่รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรกให้ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วไทยได้บริโภคน้ำสะอาดกันทั่วหน้า ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ในปี 2030 นั่นเอง
 
      
 
 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ