คอลัมน์ - ทำกินถิ่นอาเซียน โดย – รศ.ดร.พิชัย ทองดีเลิศ [email protected]
สัปดาห์ที่แล้วผมได้มีโอกาสไปเดินเที่ยวชมงาน Thailand Coffee Fest 2019 เรียกได้ว่าเป็นงานที่น่าสนใจของคนที่รักการดื่มกาแฟ คนปลูกกาแฟรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจกาแฟทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งสิ่งที่สะท้อนภาพของงานนี้ที่ผมสัมผัสได้ก็คือความเข้มแข็งของผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับกาแฟได้เห็นความสำคัญของพืชชนิดนี้ในทุกระดับเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ รวมถึงการแข่งขันกับตลาดโลก
ที่สำคัญที่ผมประทับใจมากคือการให้ความสำคัญกับผู้ปลูกกาแฟรายย่อยได้มีโอกาสได้นำผลผลิตมาแสดงในงานเพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จัก เท่าที่สังเกตดูและพูดคุยกับผู้ที่มาร่วมแสดงกาแฟในงานทำให้พบว่าองค์ความรู้ในเรื่องกาแฟของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยนี่ถือว่ายอดเยี่ยมเลยครับทั้งด้านพันธุ์กาแฟ เทคนิคการปลูก การดูแลรักษา การคั่ว บรรจุภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องของการชงก็ถือว่าคนไทยเราอยู่ในระดับแนวหน้าไม่แพ้ชาติใดในโลก
ประกอบกับทุกวันนี้ร้านกาแฟเปรียบเสมือนชุมชน สังคมและที่ทำงานของคนในเกือบทุกระดับและอาชีพ ดังนั้นปริมาณการดื่มกาแฟในเมือง จึงเพิ่มมากขึ้นและเรื่องราวของกาแฟเข้ามาใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น จากการสนใจแค่ร้านกาแฟและเมนูที่ดื่มกลายเป็นความสนใจในเรื่องของแหล่งกำเนิดเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ดื่มรวมการคั่วบดและการชง ดังนั้นกาแฟจึงกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีเรื่องราวและเสน่ห์ตามมาอีกมากมาย
โดยในงานครั้งนี้มีทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการได้นำกาแฟที่ตนเองผลิตได้มาโชว์กัน ซึ่งเท่าที่เห็นก็มากันทั่วประเทศ แต่ที่จะเด่นชัดหน่อยส่วนใหญ่ก็จะเป็นอราบิก้ามาจากทางภาคเหนือของเราเพราะพื้นที่และระดับความสูงเหมาะสมกับการปลูก แต่ละที่ก็จะโชว์คุณสมบัติที่โดดเด่น เช่น ในด้านของพันธุ์ที่ปลูกที่คัดเลือกพันธุ์ที่ดีหรือนำพันธุ์หายากจากต่างประเทศเข้ามาปลูกแต่ใช้จุดเด่นในด้านการดูและบำรุงรักษาด้วยเทคนิคแบบไทยทำให้ได้ผลผลิตกาแฟที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว
และมีกรรมวิธีการคั่วแบบเฉพาะเข้าไปอีก จึงทำให้มีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นออกมาแต่ก็คงไว้ซึ่งคุณสมบัติของพันธ์ดั้งเดิม แต่ผลผลิตเหล่านี้แต่ละปีจะมีปริมาณน้อยมากหรือบางปีไม่ได้ผลผลิตเลย จึงทำให้เป็นกาแฟที่หาดื่มได้ยากในเมืองไทยเรา ซึ่งผลผลิตของเกษตรกรบางรายก็มีการสั่งซื้อจากต่างประเทศด้วย
อย่างในปีนี้เองผมได้เห็นการประมูลผลผลิตกาแฟที่ผ่านการประกวดชนะเลิศอันดับหนึ่ง มีผู้ประมูลจบไปที่กิโลกรัมละสองหมื่นกว่าบาทและผลผลิตในปีนี้มีเพียงแค่ไม่กี่กิโลเท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้ผมว่าเป็นจุดดีที่ส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรผู้ผลิตมีแรงบันดาลใจในการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพดีออกสู่ตลาด และทำให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสรู้จักและอาจพัฒนาต่อยอดเชิงธุรกิจได้ถ้ามีความพร้อมที่จะทำต่อ
อีกเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีคือความเข้มแข็งในรูปของสมาคมกาแฟพิเศษที่มีการให้ความรู้ในเรื่องของตลาดกาแฟในไทยและตลาดโลก การก้าวสู่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ ซึ่งไม่ใช่แค่การปลูกหรือทำร้านกาแฟแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเช่นวัสดุ อุปกรณ์ เสื้อผ้า กิจกรรมรวมไปถึงการแปรรูปกาแฟไปเป็นผลผลิตอื่นๆ เช่นขนมและอาหารต่างๆ
จากงานนี้ผมเห็นศักยภาพด้านกาแฟของคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ ทั้งในด้านองค์ความรู้ การผลิตเมล็ดกาแฟพิเศษ การสร้างเรื่องราว การทำการตลาด มาตรฐาน คุณภาพ รวมถึงการสร้างเครือข่ายกาแฟไทยให้เชื่อมต่อกับเครือข่ายกาแฟโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะเกษตรกรไทยต่อไปในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง