ข่าว

วิพากษ์แผนยุทธศาสตร์ยาง20ปี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

วิพากษ์แผนยุทธศาสตร์ยาง20ปี เปิด5มาตรการไร้เกษตรกรมีส่วนร่วม

 

         "ยางพารา" ถือเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเนื้อที่ปลูกยางพาราประมาณ 23 ล้านไร่ ซึ่งสามารถผลิตยางธรรมชาติได้ 4.4 ล้านตันต่อปี โดยผลผลิตดังกล่าวได้สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านครัวเรือนเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมประมาณ 200,000 คน และในแต่ละปี "ยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยาง" สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า 400,000 ล้านบาท

วิพากษ์แผนยุทธศาสตร์ยาง20ปี

 เยี่ยม ถาวโรฤทธิ์

   

      แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดจะเห็นว่า อุตสาหกรรมยางพารามีปัญหาหลายประการ ได้แก่ ยางพาราเป็นสินค้าที่ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยยางพาราที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพียงแค่14%เท่านั้นส่วนที่เหลืออีก86%ถูกส่งออกในรูปของยางที่เป็นวัตถุดิบ และด้วยเหตุที่โครงสร้างตลาดยางพาราเป็นแบบผู้ซื้อน้อยราย 

          ในขณะที่มีผู้ขายจำนวนมาก ส่งผลทำให้ผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าผู้ขาย ในขณะเดียวกันราคายางพาราที่ซื้อขายกันในตลาดโลกยังถูกกำหนดจากตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งกว่า 90% เป็นการเก็งกำไร ส่งผลทำให้ราคายางพารามีความผันผวนค่อนข้างมาก นอกจากนั้น ราคายางพารายังได้รับผลกระทบจากราคายางสังเคราะห์ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนยางธรรมชาติ โดยเมื่อราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของยางสังเคราะห์ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำทำให้ราคายางสังเคราะห์ปรับตัวลดลงตามไปด้วย ผู้ผลิตจึงหันไปใช้ยางสังเคราะห์แทนยางธรรมชาติเพื่อลดต้นทุน ซึ่งในท้ายที่สุดก็ส่งผลทำให้ราคายางธรรมชาติประสบกับภาวะตกต่ำ จนทำให้เกษตรกรชาวสวนยางเดือดร้อน และออกมาเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล

           นอกจากปัญหาราคาตกต่ำแล้ว การผลิตยางพาราของไทยยังมีต้นทุนสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตป่าสงวน ทำให้ประเทศผู้ซื้อ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป และประเทศญี่ปุ่นกำหนดมาตรการกีดกันการค้าในรูปแบบของการออกมาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรฐานFSC(หรือPEFC) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน

        โดยตั้งเงื่อนไขว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์ไม้ยางพาราจากสวนยางที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันส่วนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้จำกัดอยู่แค่ไม้ยางพารา แต่หากเมื่อใดที่มาตรการดังกล่าวขยายผลไปถึงยางแปรรูป จะทำให้อุตสาหกรรมยางพาราของไทยได้รับผลกระทบทั้งระบบ และนอกจากนั้นปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานกรีดยาง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ ก็ถือว่าเป็นปัญหาท้าทายที่จำเป็นต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน

         จากข้อมูลที่ เยี่ยม ถาวโรฤทธิ์  รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี(พ.ศ. 2560-2579) นั้นเป็นยุทธศาสตร์ที่จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรให้บรรลุผลตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปีที่จัดทำขึ้นนั้นมีเป้าหมายหลักๆ ที่ต้องการผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จอยู่ 5 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การลดพื้นที่ปลูกยางลงจาก 23.3 ล้านไร่ ให้เหลือ 18.4 ล้านไร่ 2.การเพิ่มปริมาณผลผลิตยางจาก 224 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ให้เป็น 360 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี 3.การเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางภายในประเทศจากร้อยละ 13.6 ให้เป็นร้อยละ 35 4. เพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางจาก 250,000 ล้านบาทต่อปีให้เป็น 800,000 ล้านบาท/ปีและ5.เพิ่มรายได้ในการทำสวนยางจาก 11,984 บาทต่อไร่ต่อปีให้เป็น 19,800 บาทต่อไร่ต่อปี

         เยี่ยมเผยต่อว่าสำหรับการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น กยท.ได้วางกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ในช่วง 1-5 ปีแรก, ระยะปานกลาง ในช่วงปีที่ 6-10 และระยะยาว ปีที่ 11-20 โดยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ในช่วง 1-5 ปีแรกจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสวนยางที่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน/อุทยานแห่งชาติ, การโค่นต้นยางเก่า และปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดี, การปรับปรุงแก้ไขมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา, การผลักดันการใช้ยางในหน่วยงานของรัฐ, การส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรฯ ปรับเปลี่ยนจากการผลิตยางแปรรูปขั้นต้นไปเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพารา, การจัดตั้งศูนย์จำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพาราในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ, การจัดงานแสดงสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ยางพารา และการจัด Road Show ในประเทศเป้าหมาย 

       สำหรับปีที่ 6-10 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการปรับปรุง/พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางพาราให้ได้มาตรฐาน มอก., การผลักดันรวมทั้งสร้างสิ่งจูงใจให้มีการนำเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ และต่อยอดในเชิงพาณิชย์, การจัดตั้งศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าประเภทยางพาราในประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมาย,การจัดทำตราสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพารา,การออกมาตรการด้านการเงินเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราเพิ่มขึ้น, การพัฒนาการซื้อขายยางพาราในรูปแบบของ “กองทุนอีทีเอฟยางพารา”และการพัฒนา “กองทุนรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง”

       ส่วนในปีที่ 11-20 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการพัฒนาและจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับใช้ทดแทนแรงงานคนในสวนยางในระยะยาว,การจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จเกี่ยวกับยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา,การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากองค์ประกอบที่ไม่ใช่ยางในน้ำยาง และการจัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการค้ายางและผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมาย

     “สำหรับกลไกในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ จะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยคณะอนุกรรมการชุดนี้จะทำงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) โดยมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้าที่เป็นประธาน และมีผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการ” 

    อย่างไรก็ตามขณะนี้ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปีได้ผ่านความเห็นชอบจากทั้งคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ยางพารา และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป

 

วิพากษ์แผนยุทธศาสตร์ยาง20ปี

อุทัย สอนหลักทรัพย์  

        อุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย(สยยท.)กล่าววิพากษ์ยุทธศาสตร์ยางพารา 20 ปีผ่าน“คมชัดลึก” โดยระบุว่าเป็นยุทธศาสตร์เพ้อฝันเป็นใบสั่งจากบอร์ด เป็นความคิดเดิม ๆ ที่มาจากนักวิชาการแล้วหาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ตนำถ้อยคำมาตกแต่งใหม่ให้สวยหรูดูดี โดยเกษตรกรชาวสวนยางไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางในอาชีพของตัวเองแต่อย่างใด โดยเฉพาะการลดพื้นที่ปลูกยางจาก23.3 ล้านไร่ให้เหลือ 18..4 ไร่นั้นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเมื่อลดพื้นที่ปลูกยางแล้วไปปลูกพืชอื่น  หากมีการปลูกเป็นจำนวนมาก ปัญหาเรื่องราคา ปัญหาเรื่องการตลาดก็จะตามมาอีก จึงอยากให้ลดจำนวนต้นยาง จาก 70 ต้นต่อไร่เหลือเพียง 40 ต้นต่อไร่ ในชว่ง 2 ปีแรกให้ปลูกพืชแซมยาง จากนั้นก็ปลูกพืชร่วมยางแทนที่จะปลูกพืชเชิงเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมา

        "เมื่อก่อนใครโค่นยางปลูกพืชอื่นจะได้เงินสงเคราะห์เพิ่มอีก 1 หมื่นเป็น 2.6 หมื่นบาทต่อไร่ ชาวบ้านก็แห่กันมาปลูกปาล์ม  ตอนนี้ราคาปาล์มเป็นอย่างไรก็ตกต่ำเหมือนกัน ดังนั้นการปลูกพืชแซม ยางปลูกพืชร่วมยาง จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่9 มาใช้และส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เอง เพราะจะได้มีความยั่งยืน โดยรัฐจะต้องฝึกอบรม หาทุนและหาตลาดให้ ถ้าไปหวังพี่งบริษัทใหญ่ ๆ คงยาก"ประธานสยยท.ให้มุมมอง 

      ส่วนการเพิ่มปริมาณผลผลิตยางจาก 224 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ให้เป็น 360 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีนั้น อุทัยยืนยันว่าคงยากหากเกษตรกรยังใช้พันธุ์อาร์อาร์ไอเอ็ม(RRIM) 600 เพราะเป็นพันธุ์เก่าแก่ที่ใช้ปลูกกันมานานและมีการขยายพันธุ์โดยเมล็ดหลายรุ่นทำให้สายพันธุ์แท้เปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพันธุ์ใหม่ ๆทดแทนอย่างเช่น อาร์อาร์ไอที251หรือ อาร์อาร์ไอที 408 เป็นต้นน่าจะเพิ่มผลผลิตได้ตามที่ต้องการ

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ