ข่าว

สทนช.ก้าวต่อไปเตรียมยกระดับสู่"กระทรวงน้ำ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

1ปี"สทนช."บูรณาการ38หน่วยงาน ก้าวต่อไปเตรียมยกระดับสู่"กระทรวงน้ำ"

 

        แนวคิด “ปฐมบทน้ำแห่งชาติ จากบนฟ้าสู่มหานที”ครบรอบ 1 ปีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) หนว่ยงานที่ตั้งขึ้นโดยม.44 เพื่อบูรณาการด้านน้ำของประเทศ ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ไปแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

         เป็นหน่วยงานที่รัฐบาลได้วางเป็นฐานไว้เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวไปสู่การยกระดับเป็น“กระทรวงทรัพยากรน้ำ”ในอนาคต เนื่ิองจากปัญหาน้ำจะเป็นเรื่องใหญ่ภายใต้บริบทของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภคหรือน้ำเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม  

        แม้เสาหลักแรกจะสำเร็จลุงล่วงไปด้วยคือการจัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ตามคำสั่งคสช.โดยม.44 แต่ยังเหลือเสาหลักที่สองพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำพ.ศ...แม้จะผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแหง่ชาติ(สนช.)วาระ3 ทว่ายังรอกฎหมายลูกอีกใช้เวลาประมาณ 120 ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณต้นปีหน้า(2562) ขณะที่เสาหลักสุดท้ายแผนแม่บทน้ำ 20 ปี (2561-2580) ที่ปรับจากแผนยุทธศาสตร์น้ำ 12 ปี (2558-2569) เพื่อให้สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล

          พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงหนึ่งระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดงาน โดยระบุว่าวันนี้เมื่อ 1 ปีที่แล้วที่รัฐบาลตัดสินใจตั้ง “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” หรือ (สทนช.) ขึ้น โดยใช้วิธีที่รวดเร็วที่สุดเพื่อให้หน่วยงานน้องใหม่นี้สามารถทำงานได้ทันที เนื่องจากรัฐบาลต้องการ “หน่วยงานกลาง” ที่เหมือนกับเป็นเสนาธิการด้านน้ำที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มองภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยได้ทั้งระบบ โดยผลงานที่เกิดขึ้นชัดเจนเป็นรูปธรรม 

          "คาดว่าภายในสิ้นปีนี้เราจะได้เห็น “กฎหมายน้ำฉบับแรก” ของประเทศไทย ที่รัฐบาลคาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้เกิดการบูรณาการ การบริหารจัดการน้ำ การฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำที่เป็นเอกภาพ มีมาตรการป้องกันแก้ไขน้ำแล้ง-น้ำท่วม วางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสาธารณะ มีองค์กรในการบริหารจัดการน้ำระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำสะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำมากยิ่งขึ้น"

         รองนายกรัฐมนตรีเผยต่อว่านอกจากการวางระเบียบกฎหมายน้ำแล้วยังมีองค์กรกลางด้านน้ำที่มีเอกภาพหน่วยงานแรก ที่สามารถกำกับดูแล เสนอแนะด้านน้ำในทุกมิติจาก 38 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ทำให้โครงการสำคัญ ๆ ได้รับการผลักดันจากที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ กนช. รวมถึงการจัดลำดับแผนงานโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนให้ได้ภายในปี 2562 – 2565 รวม 31 โครงการ ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมีผลการศึกษา กระบวนการ EIA การรับฟังความคิดเห็น การออกแบบ และ การขอใช้พื้นที่ ที่เริ่มก่อสร้างได้ในปี 62 จำนวน 11 โครงการ สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้ 379 ล้าน ลบ.ม. และ พื้นที่รับประโยชน์ 840,201 ไร่

 

   นอกจากนี้ยังได้มีการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์น้ำปี 58-69 ซึ่งอยู่ระหว่างการยกระดับให้เป็นแผนแม่บทด้านทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งผลการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์น้ำจนถึงปัจจุบัน พบว่า จัดทำระบบประปาหมู่บ้านได้ 7,291 หมู่บ้าน เหลืออีก 199 หมู่บ้าน ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2562 เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำได้ 1,483 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ 2.53 ล้านไร่ พร้อมฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ/ขนาดเล็กนอกเขตชลประทานได้ 1,939 ล้าน ลบ.ม. 

    ขณะเดียวกันยังมีการใช้งบประมาณด้านน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการปรับแผนใช้จ่ายงบประมาณ ปี’61 ภายใต้แผนบูรณาการน้ำ วงเงิน 7,813 ล้านบาท เพื่อนำมาดำเนินงานตามโครงการเร่งด่วนที่ประชาชนร้องขอจากการที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่และครม.สัญจร ส่งผลให้สามารถเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำได้อีก 28.5 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มพื้นที่รับประโยชน์ 342,000 ไร่ พร้อมกับปรับแผนงานด้านการป้องกันอุทกภัย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่เกษตร 1.065 ล้านไร่ เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือ 173,864 คน และที่สำคัญการสานต่อโครงการแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริ โดยในห้วงที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติให้เปิดโครงการสำคัญ ๆ อาทิ อ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.พะเยา อ่างเก็บน้ำบ้านป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ยังมีโครงการที่มีความพร้อมแต่อยู่ระหว่างการสร้างความเข้าใจแก่ราษฎรอีกหลายโครงการ ซึ่งรัฐบาลจะเร่งผลักดันต่อไป  พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต ที่เน้นดำเนินการในเชิงป้องกัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลแบบบูรณาการ และหาแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่คาดวาจะประสบภัยได้ทันท่วงที

        “1 ปี ของ สทนช. ที่ผ่านมามีผลงานหลายประการ ได้แก่ การบูรณาการข้อมูล แผนงานโครงการ การบริหารจัดการน้ำในภาวะวิกฤติ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ หรือ แผนแม่บท 20 ปี การผลักดันกฎหมายด้านน้ำจนผ่านการพิจารณาของ สนช. รวมถึงการเพิ่มน้ำต้นทุน และ การแก้ไขน้ำท่วมน้ำแล้ง ดังนั้น สทนช. จะเป็นมือของรัฐบาลในการประสานบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ 38 หน่วยงาน เพื่อให้เดินตามนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ และ แก้ไขวิกฤติน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่ง สทนช. ต้องเป็นหลักให้กับทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารจัดการน้ำ"

        อย่างไรก็ตามก้าวต่อไปในอนาคตของ สทนช. พลเอกฉัตรชัยย้ำว่าจะทำหน้าที่รวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการจัดตั้ง “กระทรวงทรัพยากรน้ำ” แต่จะตั้งเป็นกระทรวงได้หรือไม่ จะต้องใช้เวลา และดูผลงานในอนาคตต่อไป โดยทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสทนช. นอกจากนี้ยังมีการพัฒนางานวิชาการและงานวิจัยของการบริหารจัดการน้ำ เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้พื้นที่เดิมเก็บกักน้ำได้มากขึ้น น้ำเท่าเดิมแต่ใช้ประโยชน์มากขึ้น เช่นการนำน้ำมาใช้ใหม่ การกรองน้ำทะเล การเพิ่มประสิทธิภาพฝนหลวง การหาแหล่งน้ำใหม่ และ การรองรับสภาพอากาศแปรปรวน  อีกทั้งสทนช.ยังมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการประสานงานกับประเทศต่าง ๆ ด้วย  

 

 สทนช.พร้อมเป็นแกนกลางขับเคลื่อนนโยบายน้ำประเทศ

        ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)กล่าวบนเวทีเสวนา"ครบรอบ 1 ปีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ตอนหนึ่งว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในการวางรากฐานด้านทรัพยากรน้ำอย่างมาก ซึ่ง สทนช.พร้อมเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนและรวมศูนย์ทุกหน่วยงานด้านน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาด้านน้ำ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทำงานบนฐานข้อมูลเดียวกัน เป็นมาตรฐานเดียวกัน การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขและสนับสนุนในเชิงพื้นที่ หรือ Area Based ใน 66 พื้นที่ ทำให้หน่วยปฏิบัติเห็นพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายลำดับแรกๆ ในการพัฒนาแหล่งน้ำ การแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยมีแผนงาน/โครงการสำคัญระบุไว้ชัดเจน การจัดทำแผนแม่บทด้านน้ำ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่กำหนดทิศทางของการขับเคลื่อนนโยบายด้านน้ำในภาพรวมของประเทศ                  

 

      สำหรับก้าวต่อไปของ สทนช. ที่เป็นภารกิจเร่งด่วนคือ การวางแผนจัดการน้ำในฤดูแล้ง และติดตามการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติเฝ้าระวังน้ำหลากในภาคใต้ การจัดทำคลังข้อมูลน้ำหรือบิ๊กดาต้า โดยพัฒนาเว็บไซต์ One map ให้เป็นระบบฐานข้อมูลที่เสถียร แม่นยำ และอัตโนมัติ การจัดทำแผนแม่บทด้านน้ำและแผนปฏิบัติการรายลุ่มน้ำให้ชัดเจนกว่าเดิม ทั้งตัวชี้วัด ผลลัพธ์ ตอบโจทย์ความเป็นสากล และแก้ปัญหาตรงพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำอย่างเป็นรูปธรรม ขับเคลื่อนโครงการสำคัญขนาดใหญ่ 31 โครงการให้แล้วเสร็จ เร่งผลักดันโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สร้างความรู้ความเข้าใจกฎหมายน้ำ จัดทำกฎหมายลำดับลูกภายใต้ พ.ร.บ.น้ำ และการจัดทำผังน้ำพร้อมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้กฎหมายฉบับนี้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนและประเทศต่อไป

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ