"เกษตร"โต้มอร์มูฟยันปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ ไม่ใช่เกษตรอินทรีย์ ใช้สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชได้ แต่ต้องใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ตามคำแนะนำบนฉลากวัตถุอันตราย
16 กรกฏาคม 2561 "เกษตร"โต้มอร์มูฟยันปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ไม่ใช่เกษตรอินทรีย์ ใช้สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชได้ แต่ต้องใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ตามคำแนะนำบนฉลากวัตถุอันตราย
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกรณีเพจ MOREMOVE นำเสนอข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ระบุว่า พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานในผักไฮโดรโปนิกส์มากกว่าผักปลูกโดยใช้ดินนั้น ว่า กรมวิชาการเกษตรมีภารกิจในการกำกับดูแลและให้การรับรองแหล่งผลิตพืชในระบบ GAP และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งรวมถึงการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ด้วย ซึ่งเป็นการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน อาศัยการให้ธาตุอาหารในรูปแบบสารละลาย แต่การปลูกบางพื้นที่ยังใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้
"การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ไม่ใช่การทำเกษตรอินทรีย์เกษตรกรจึงสามารถใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามคำแนะนำบนฉลากวัตถุอันตรายได้ และเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกับการปลูกพืชในระบบ GAP หรือการปลูกพืชในระบบอื่น ซึ่งหากปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวจะไม่มีสารตกค้างในผลผลิตแต่อย่างใด"
อย่างไรก็ตาม การปลูกพืชในดินโดยปกติสารเคมีจะมีการสลายตัวได้เร็วเนื่องจากปัจจัยของอุณหภูมิและแสงแดดรวมทั้งมีจุลินทรีย์ที่ช่วยสลายสารเคมีลงไปในดิน แต่การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินหรือในโรงเรือนจะไม่มีจุลินทรีย์เป็นตัวช่วยจึงสลายตัวได้ช้า อย่างไรก็ตามกรมวิชาการเกษตรมีคำแนะนำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในโรงเรือนใช้ชีวภัณฑ์ เช่น ไตรโครเดอร์มา และไส้เดือนฝอยทดแทนการใช้สารเคมี หรือหากมีความจำเป็นต้องใช้ให้ใช้ตามคำแนะนำในฉลากและเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวให้ถูกต้อง
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า นอกจากการให้การรับรองแหล่งผลิตแล้วกรมวิชาการเกษตรยังมีมาตรการในการเผ้าระวังสารพิษตกค้างในผลผลิตโดยติดตามสุ่มเก็บตัวอย่างผลผลิตแล้วนำมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในห้องปฏิบัติการ โดยสุ่มเก็บทั้งในแปลงซึ่งเป็นแหล่งผลิต จุดรวบรวมผลผลิตในและโมเดิร์นเทรด ซึ่งเป็นแผนงานประจำทุกปีและเพิ่มแผนการสุ่มตรวจในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น ตรุษจีน และปีใหม่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยในปี 2561 นี้ได้มีแผนการสุ่มเก็บตัวอย่างทั่วประเทศรวมจำนวน 9,000 – 10,000 ตัวอย่าง
นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรยังได้จัดทำโครงการวิจัยแร่งด่วน โดยทำการสำรวจสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย และวิจัยสารพิษตกค้างในพืชผัก ผลไม้ที่มีความเสี่ยงจากสารเคมีทางการเกษตร ด้วย โดยสำรวจและติดตามผลกระทบในน้ำและดินมีเป้าหมายในการเก็บชนิดและจำนวนตัวอย่าง 800 ตัวอย่างเพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง
“การสุ่มตัวอย่างพืชผักที่จำหน่ายในประเทศเป็นการกำกับดูแล ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กรมวิชาการเกษตรสุ่มตรวจสารตกค้างในพืชที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP หากพบเกินค่ามาตรฐานจะดำเนินการแจ้งเตือนเกษตรกรให้ปรับปรุงแก้ไข หากไม่แก้ไขจะมีการพักใช้หรือเพิกถอนการรับรองต่อไป อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค โดยดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม และสาธารณสุขจังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง