ครม.เห็นชอบดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี 2560
วันที่ 27 มิ.ย. 60 เวลา 13.15 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี
สำหรับอัตราค่าเบี้ยประกันภัยปี 2560 อัตราเท่ากันทุกพื้นที่การผลิต 97.37 บาทต่อไร่ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ หรือคิดเป็น 90 บาทต่อไร่ ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ (ปี พ.ศ. 2559 อัตราค่าเบี้ยประกัน 107.428 บาทต่อไร่ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ ) เกษตรกรจ่าย 36 บาทต่อไร่ ทั้งนี้ รัฐบาลจะอุดหนุนเงินค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย ในอัตรา 61.37 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่วนกรณีที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส.นั้น ธ.ก.ส. จะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลืออีก 36 บาทต่อไร่
ส่วนระยะเวลาการขายประกันเริ่มตั้งแต่ฤดูการเพาะปลูก – 31 สิงหาคม 2560 และภาคใต้สามารถดำเนินการได้จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2560 เนื่องจากฤดูการเพาะปลูกของภาคใต้ช้ากว่าภาคอื่น อีกทั้งปีนี้รัฐบาลยังมีการพิจารณาให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ – โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยไม่ต้องเดินทางมาจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมด้วยตนเอง ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย
พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยมิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต 2559 และขอให้จัดส่งข้อมูลให้สมาคม ฯ และ ธ.ก.ส. เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ และแบ่งเบาภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต โดยส่งเสริมให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในการระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น และทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยด้วย นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังดำเนินการศึกษาแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยให้ขยายผลครอบคลุมไปถึงพืชผลทางการเกษตรชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรทั่วประเทศไทยในอนาคตมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถบรรเทาความเดือนร้อนภาระหนี้สินที่จะเกิดขึ้นหากผลผลิตได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง