ข่าว

"บรรจง แสนยะมูล"ปั้นไร่แสนดีสู่เกษตรทฤษฎีใหม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย-กวินทรา  ใจซื่อ 

      อดีตพนักงานบริษัทวัย 41 ปี อย่างนายบรรจง  แสนยะมูล  ยอมทิ้งเงินเดือนกว่าครึ่งแสนและอนาคตที่สดใสในเมืองหลวง หันมาจับจอบจับเสียม เดินทางกลับมาอยู่บ้านหนองยาง ต.หัวขวาง อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม   เพราะต้องการทำการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และมองว่าในอนาคตการเกษตรแบบพอเพียงทำให้คนอีสานมีอยู่มีกิน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและไม่ต้องอพยพไปหากินที่อื่น
    กว่า 1 ปีที่นายบรรจง  ตัดสินใจมาเป็นเกษตรกร  ไผ่ตงลืมแล้งกว่า 1,000 กอ มะนาวพันธุ์ดี  ไม้ดอก  ไม้ผล พืชผักสวนครัวอีกหลากหลายชนิด  เริ่มให้ผลได้เก็บขายเก็บกินเลี้ยงครอบครัวบ้างแล้ว  การทำเกษตรผสมผสานตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเป็นแนวทางที่บรรจงบอกว่าเขาเดินมาถูกทางแล้ว 
    หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่บ้านเกิดในจังหวัดร้อยเอ็ด  บรรจงสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง  พร้อมกับหางานทำส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ   จากนั้นได้ทำงานเป็นพนักงานบริษัทในตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน  มีเงินเดือนสูง  พร้อมกับมีครอบครัวที่อบอุ่น   แต่สิ่งที่เขาต้องการกลับไม่ใช่ชีวิตที่อยู่อย่างสุขสบาย
     “ทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทางกลับบ้านแฟนที่ จ.มหาสารคาม เมื่อเดินทางถึงโคราช สิ่งที่เห็นคือภาพท้องนาแห้งแล้ง ว่างเปล่า ไกลสุดลูกหูลูกตา   จนเดินทางผ่านที่แปลงหนึ่งพบว่าที่ดินแปลงนี้ปลูกทั้งกล้วย อ้อย พืชผัก ผลไม้ ข้างๆมีบ่อน้ำเพียง 1 บ่อ ทำให้ที่ดินไม่กี่ไร่ กลายเป็นพื้นที่สีเขียว เดินเข้าไปดูรู้สึกถึงความเย็นสบาย"  
    ส่วนชีวิตที่บ้านพ่อแม่ปลูกมันสำปะหลัง  ปลูกอ้อย  ก็บอกว่าขายได้ราคาดี  แต่ไม่รู้ว่าเงินหายไปไหน  สิ้นปีลูกๆก็ยังต้องหาเงินมาจ่ายหนี้ให้ ธกส.ทุกปี  มองว่าคือความทุกข์ของพ่อแม่  ไม่ใช่ของเราคนเดียวเท่านั้น  แต่คิดว่าพ่อแม่ของหลายคนก็เป็นแบบนี้  ถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาสนใจการทำการเกษตรแบบยั่งยืน
    "บรรจง"ค้นพบว่าเขาเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ ระหว่างที่ทำงานบริษัท จึงเริ่มศึกษาหาความรู้ด้านการทำเกษตรแบบผสมผสาน  จากนั้นจึงนำความรู้และเทคโนโลยีมาผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่ได้พูดคุยกับปราชญ์ชาวบ้านหลายคน   เพียงปีครึ่งดินที่เคยรกร้างว่างเปล่ากว่า 29 ไร่  ปรับสภาพให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกที่มีต้นไม้หลากหลายชนิด จนกลายเป็นพื้นที่สีเขียวให้ทั้งความร่มเย็น  แหล่งอาหารและสร้างรายได้กับครอบครัว   โดยเฉพาะต้นไผ่ที่บรรจงและครอบครัวได้ลงแรงปลูก เพราะไผ่ปลูกง่าย โตเร็ว เป็นเหมือนไม้เบิกนำให้ต้นไม้อื่นได้เจริญเติบโต  รวมถึงให้ความชุ่มชื้นกับพื้นดินด้วย เมื่อเห็นว่าการทำการเกษตรมาถูกทางแล้ว จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ  แล้วเดินหน้าเป็นเกษตรกรเต็มตัว  พร้อมกับตั้งชื่อพื้นที่สีเขียวว่า “ไร่แสนดี เกษตรทฤษฎีใหม่”    
    “ถึงจะได้เงินเดือนหลายบาท แต่ความรับผิดชอบก็สูงตาม  ผิดพลาดไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวนาที  เรียกว่าทำงานคุ้มกับเงินเดือนและความไว้วางใจที่บริษัทให้เรามา  ช่วงที่ทำงานอยู่บริษัท ทำให้ได้เรียนรู้ในเรื่องการบริหารจัดการหลายด้าน ซึ่งเราก็นำมาปรับใช้ในงานเกษตรที่ทำอยู่  ผสมผสานทั้งเทคโนโลยี ภูมิปัญญาดั้งเดิม รวมถึงการวางแผนการเพาะปลูกด้วย ซึ่งความรู้ทุกเรื่องสามารถนำมาปรับใช้ได้จริง  ตอนนี้มีรายได้จากการเก็บหน่อไผ่ กิ่งตอนไผ่ ต้นละ 50 บาท  หากให้ไปส่งราคาต้นละ 60 บาท  ขึ้นกับระยะทาง บางส่วนก็ขายกิ่งตอนมะนาว  ส่วนไม้ผลอื่นๆทั้งมะม่วง  ละมุด ลำไย  มะเฟือง รวมถึงพืชผักสวนครัว หลากหลายชนิด ก็เก็บกินโดยไม่ต้องไปซื้อหาให้เสียเงิน บางส่วนก็เลือกที่จะขายและแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้าน”
    ส่วนเรื่องน้ำบรรจงแก้ปัญหาด้วยการใช้พลังงานทดแทน โดยการติดตั้งกังหันลมแล้วดึงน้ำขึ้นมาใช้ ส่วนระบบการดึงน้ำขึ้นมาใช้นั้น จะมีทั้งระบบมอเตอร์  การใช้พลังงานคนจักรยานดึงน้ำ และพลังงานลม  หากอย่างใดอย่างหนึ่งชำรุดสามารถนำมาใช้ทดแทนกันได้   อนาคตจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจำนวนมาก  แต่คนรุ่นใหม่ที่จะหันมาทำการเกษตรกลับลดน้อยลง  ขณะเดียวกันเกษตรกรก็เน้นปลูกพืชพลังงานเพิ่มขึ้น  บรรจงมองว่า หากไม่มีน้ำมันเราไม่ตาย  แต่ถ้าไม่มีน้ำ ไม่มีอาหารเราตายแน่นอน
    “ผมตัดสินใจลาออก พร้อมกับอพยพครอบครัวมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านเกิด  ส่วนหนึ่งต้องการเป็นต้นแบบให้กับหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ยังต้องอพยพเข้าทำงานในเมืองหลวง หันกลับมาดูแลบ้านเกิด  สร้างความมั่นใจว่าการเกษตรแบบผสมผสาน  กินทุกอย่างที่ปลูก  ปลูกทุกอย่างที่กิน  มีการวางแผนจัดการ  ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน  การเกษตรสามารถตอบโจทย์เราได้ทั้งหมด  จากนี้จะพัฒนาพื้นที่ที่ทำอยู่ให้เป็นแหล่งศึกษา ศูนย์การเรียนรู้เกษตรพอเพียง ให้กับกลุ่มคนที่สนใจเข้ามาเรียนรู้ลงมือทำร่วมกัน  ตอนนี้คนที่สนใจก็จะรู้จักกันผ่านเฟสบุ๊คมีทั้งเป็นคุณครู  ทหาร  ทุกคนล้วนชอบการปลูกต้นไม้  ซึ่งเราให้การต้อนรับทุกคนที่ต้องการเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ