โดย - โต๊ะข่าวเกษตร
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สมาคมนักอุทกวิทยาไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมประชุมนานาชาติ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการน้ำ สู่ความมั่นคงด้านน้ำ พลังงาน อาหาร” (THA 2017 International Conference on Water Management and Climate Change Towards Asia's Water–Energy-Food Nexus )
โดยเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการจัดการทรัพยากรน้ำ รวมทั้งแนวทางการแก้ปัญหาแบบบูรณาการที่พิจารณาถึง ความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคง ด้านน้ำ พลังงาน อาหาร และเปิดโอกาสเผยแพร่ผลงานวิจัย สำหรับนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ผู้ปฏิบัติงานและผู้กำหนดนโยบายในสาขาที่เกี่ยวข้องจากนานาชาติให้ร่วมแบ่งปันและนำเสนอมุมมอง
หัวข้อ การประชุมสำคัญคือ 1) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการน้ำ 2) การบริหารจัดการน้ำและโครงการชลประทานแบบมีส่วนร่วม 3) เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม 4) การจัดการภัยพิบัติและการบริหารจัดการน้ำบาดาล เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนด้านทรัพยากร ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คอง คอร์ด กรุงเทพฯ
ในการประชุมดังกล่าวมีการกล่าวถึง “มาตรการแก้ปัญหาเรื่องการจัดการน้ำภายใต้ความร่วมมือของประเทศอาเซียน” ผ่านการพูดคุยตัวแทนด้านนโยบายจากประเทศในกลุ่มอาเซียน คือ มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เพื่อนำเสนอข้อมูล แนวทางการบริหารจัดการน้ำของแต่ละประเทศ
สรุปได้ว่า ปัญหาที่ประเทศกลุ่มอาเซียนมีเหมือนกันคือ ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเสีย มีสาเหตุของการเกิดที่แตกต่างกันออกไป อย่างฟิลิปปินส์มักประสบปัญหาหลักเรื่องพายุ มาเลเซียประสบปัญหาหลักคือปริมาณน้ำจากฝั่งไทยที่ไหลไปยังมาเลเซีย หรือ เมียนมาร์ กำลังประสบปัญหาการมีปริมาณน้ำมากที่เกิดจากฝนตกหนัก
ทั้งนี้ แม้บางลุ่มน้ำ อาทิ ลุ่มน้ำโขงจะมีหน่วยงานที่ดูแลโดยตรอย่างคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือ (MRC) ซึ่งมีการพูดคุยกันระดับชาติอยู่แล้ว แต่การพูดคุยถึงปัญหาด้านน้ำของแต่ละประเทศอาจมีความลำบากเพราะเป็นลักษณะปัจเจก ซึ่งต่างจากการพูดคุยกันในการจัดงานครั้งนี้เป็นไปในลักษณะของ Asean Network หมายความว่า ใช้ “งานวิจัย” เป็นกลไกเชื่อมที่ปราศจากกำแพงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
อาทิ บางประเทศมีองค์ความรู้การแก้ปัญหาภัยแล้งที่เข้มแข็งก็ถ่ายทอดให้ประเทศอื่นในเครือข่ายอาเซียนได้รับทราบ อย่างกรณีน้ำท่วมของไทยในปี 2554 ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สำคัญสำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียน ที่ได้เรียนรู้เรื่อง การบริหารจัดการเพราะมีมูลค่าของการเสียหายสูง
ปัจจุบันเครือข่ายวิชาการด้านการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำ ดำเนินการมาได้ 2 ปีแล้ว ซึ่งองค์ความรู้ที่มีการแลกเปลี่ยนกัน จะนำไปส่งให้กับผู้กำหนดนโยบายของแต่ละประเทศ โดยความร่วมมือไม่ใช่แค่การจัดประชุมแต่ยังมีการอบรมเทรนนิ่งที่เชิญทั้งภาควิชาการและภาคนโยบายมาพูดคุยกันในแต่ละปี โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่เป็น “ฮับความรู้” เชื่อมร้อยเครือข่ายวิจัย
ด้าน ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผอ.สกว.ในฐานะตัวแทนจากประเทศไทยกล่าวถึงความก้าวหน้าด้านงานวิจัยที่สะท้อนให้เห็นถึงทามไลน์ในการแก้ปัญหาด้านน้ำของประเทศว่า ในส่วนของ สกว.ได้สนับสนุนทุนในประเด็นนโยบายสิ่งแวดล้อมของอาเซียนและประเด็นการร่วมมือวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านทางฝ่ายนโยบายและสวัสดิภาพสาธารณะ สกว.และโครงการ The Southeast Asia Regional Climate Downscaling (SEACLID) มาตั้งแต่ปี 2553
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ
ทั้งยังกำหนดกรอบประเด็นการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Research Issues) หรือ SRI โดยหนึ่งในนั้นมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ การจัดการสิ่งแวดล้อม ที่ดิน น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเอเชียตะวันออกและชุมชนอาเซียน โดยเฉพาะประเด็นการจัดการทรัพยากรน้ำ ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ประโยชน์จากที่ดิน มีเป้าหมายให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับ SRI มุ่งการวิจัยประเด็นทรัพยากรน้ำ การจัดสรรน้ำ เครื่องมือบริหารจัดการน้ำ และการจัดการอุปสงค์การใช้น้ำ โดยเป้าหมายงานวิจัยเหล่านี้คือ การวิเคราะห์ผลออกมาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อนำส่งข้อมูลไปยังผู้กำหนดนโยบายเพื่อการปฏิบัติจริงได้ อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
ดังนั้นการประชุมดังกล่าว จึงถือว่าทำให้เกิดการเชื่อมร้อยชุมชนอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง สร้างศักยภาพในการแก้ปัญหา ด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศให้ดีขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง