นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ในช่วงนี้ที่ประเทศไทยเริ่มย่างเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุม และมีคำประกาศแจ้งเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาทั้งในเรื่องของปริมาณฝนที่ตกหนักและสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้คุณภาพน้ำมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งอุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกันมากในรอบวัน ความเป็นกรดเป็นด่าง ความขุ่นของน้ำ ซึ่งมีผลต่อกระทบต่อคุณสมบัติน้ำทั้งด้านชีวภาพ กายภาพ และเคมีภาพ
ลักษณะเช่นนี้จะส่งผลให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทันมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของน้ำ ซึ่งในการปรับตัวต้องนำพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหารมาใช้ ทำให้พลังงานที่จะนำไปใช้ในการเจริญเติบโตหรือสร้างระบบภูมิคุ้มกันลดน้อยลง เหตุนี้ส่งผลทำให้ปลาอ่อนแอ ป่วยและติดโรคตายได้ง่าย บวกกับเมื่อฝนตกหนักจะมีการพัดพาน้ำที่เน่าเสียและสารเคมีต่างๆ ที่อาจเป็นพิษภัยต่อสัตว์น้ำ อีกทั้ง ด้านน้ำทะเลอาจเกิดปรากฏการน้ำจืดหลากลงทะเลรวมถึงโรคสัตว์น้ำชายฝั่งซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปลาที่เลี้ยงในกระชัง และหอยทะเลตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นขอแนะนำให้เกษตรกรเตรียมการป้องกัน ดังนี้
ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
1. เมื่ออากาศมืดครึ้มยาวนาน 2-3 วัน หรือหลังฝนหยุดตก ควรเปิดเครื่องตีน้ำ เพื่อคลุกเคล้าน้ำฝนกับน้ำในบ่อให้เข้ากัน ป้องกันการแบ่งชั้นน้ำ
2. เมื่อฝนตกหนักทำให้อุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลง ปลาจะลดการกินอาหาร ดังนั้น ควรลดปริมาณอาหารให้น้อยลง หรืองดอาหารในวันที่ฝนตกหนัก
3. ควรโรยปูนขาวรอบคันบ่อ ประมาณ 30-50 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 1 ไร่ เมื่อฝนตกจะช่วยปรับ pH น้ำได้ดีขึ้น
4. สาดเกลือแกงลงในบ่อ หลังฝนตก ประมาณ 60-100 กิโลกรัมต่อไร่ จะช่วยลดพิษของแอมโมเนีย และช่วยรักษาสมดุลภายในร่างกายของปลา
5. หากจำเป็นต้องเลี้ยงสัตว์น้ำ ควรปล่อยในอัตราที่หนาแน่นน้อยกว่าปกติ
6. เมื่อปลามีอาการผิดปกติ อาจผสมยาในอาหารให้ปลากิน แต่ควรปฏิบัติตามฉลากที่กำหนดอย่างเคร่งครัดหรือปรึกษาศูนย์วิจัยหรือสำนักงานประมงจังหวัดใกล้บ้าน
ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง
ช่วงนี้กำลังเข้าสู่ฤดูมรสุมของภาคใต้ ฝนตกชุก ความเค็มจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพราะฉะนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาในกระชังต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากความต้านทานเชื้อของปลาจะลดน้อยลง การให้อาหารปลาก็ต้องลดลงไปจนถึงช่วง ธันวาคม
ภัยธรรมชาติและโรคสัตว์น้ำชายฝั่งที่จะพบได้บ่อย ได้แก่ หอยแมลงภู่ตาย ปลาในกระชังตายเนื่องจากน้ำในกระชังตื้น น้ำร้อนและเกิดปรสิต ปลาในกระชังตายเนื่องจากเกิดโรคปรสิตและการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำอย่างเฉียบพลันหลังฝนตก โรคตายด่วน (EMS) โรคตัวแดงดวงขาว ที่มักจะแพร่ระบาดและมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงนี้
สำหรับช่วงฤดูฝนที่น่าเป็นห่วงอีกอย่าง คืออุณหภูมิที่จะลดต่ำลง นอกจากจะส่งผลให้สัตว์น้ำกินอาหารได้น้อยลงอยู่แล้ว ยังมีน้ำจืดที่มาเปลี่ยนแปลงของความเค็มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ปลาจะมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ความต้านทานโรคลดลง ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ ไม่เลี้ยงปลาหนาแน่นจนเกินไป
อีกทั้ง เนื่องจากสภาพอากาศในบางพื้นที่ในช่วงนี้มีฝนตกลงมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำในทะเลและในลำคลองที่เชื่อมต่อกับทะเลมีระดับสูงขึ้น ส่งผลกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังต้องเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงของน้ำและเชื้อโรคในน้ำ รวมทั้งน้ำท่วมกระชังด้วย เพราะฉะนั้น ช่วงที่ระดับน้ำทะเลขึ้นสูง เกษตรกรจะต้องเลื่อนระดับกระชังให้สูงขึ้น ป้องกันไม่ให้ปลาหลุดลอดไปข้างนอกได้ และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ ทางกรมประมงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในแต่ละจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ หากพบว่าคุณภาพน้ำเสี่ยงต่อการเลี้ยงสัตว์น้ำให้รีบดำเนินการแจ้งเตือนให้ทางเกษตรกรในพื้นที่ทราบโดยเร็วที่สุด
เกษตรกรท่านใดที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือต้องการขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากเจ้าหน้าที่กรมประมงที่สำนักงานประมงจังหวัด ศูนย์ฯ หรือสถานีฯประมงที่ใกล้เคียง หรือสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด โทร.0-2579-4122 หรือสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำชายฝั่ง โทร 0-7433-4516-8