โดย - โต๊ะข่าวเกษตร
ช่วงนี้ฝนตกชุก อากาศชื้นเหมาะแก่การเข้าทำลายของศัตรูพืชและโรคต่างๆในพืชผักผลไม้ รวมถึงข้าวด้วย จึงขอให้เกษตรกรหมั่นตรวจสอบแปลงเกษตรของตนเองด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แปลงนาข้าว จึงมีคำแนะนำจากกรมวิชาการเกษตร สำนักเกษตรจังหวัดต่างๆ ที่ช่วงนี้ให้ระวัง
1.โรคไหม้ข้าวระบาด ที่สาเหตุเกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ ใบมีแผลจุดสีน้ำตาลลักษณะคล้ายรูปตา หรือกระสวย มีสีเทาปนอยู่ตรงกลาง แผลมีขนาดแตกต่างกัน และลุกลามติดต่อกันทั้งใบ ถ้าอาการรุนแรงข้าวจะแห้งและฟุบตายในที่สุด อาการคล้ายถูกไฟไหม้ ถ้าเป็นที่กาบใบ ใบมักหลุดออกจากกาบ เมล็ดลีบ หรือถ้าเป็นที่คอรวงจะทำให้เมล็ดลีบ คอรวงจะปรากฏแผลสีน้ำตาล ทำให้หักพับลง โดยจะระบาดมากถ้ามีความชื้นสูง ปลูกข้าวหนาแน่นและใช้ปุ๋ยไนโตรเจนสูง
เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า (ซ้าย)
การป้องกัน ให้เกษตรกรใส่ใจหมั่นตรวจแปลงข้าวของตนเองเป็นประจำ ถ้าพบลักษณะอาการข้างต้น แนะนำให้ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าชนิดสด 100 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร กรองเอาเฉพาะน้ำฉีดพ่นให้ทั่วแปลงที่มีการระบาด และให้หยุดการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เพราะจะทำให้โรคระบาดอย่างรวดเร็วขึ้น และสร้างความเสียหายกับเกษตรกรได้
2.หนอนห่อใบข้าว ผีเสื้อหนอนห่อใบข้าวจะเคลื่อนย้ายเข้าแปลงนา ตั้งแต่ข้าวยังเล็กและวางไข่ที่ใบอ่อน โดยเฉพาะใบที่ 1-2 จากยอด เมื่อตัวหนอนฟักออกมาจะแทะผิวใบข้าว ส่วนที่เป็นสีเขียว ทำให้เห็นเป็นแถบยาวสีขาว มีผลทำให้การสังเคราะห์แสงลดลง หนอนจะใช้ใยเหนียวที่สกัดจากปาก ดึงขอบใบข้าวทั้งสองด้านเข้าหากัน เพื่อห่อหุ้มตัวไว้ มันจะทำลายใบข้าวทุกระยะการเจริญเติบโตถ้าหนอนมีปริมาณมากจะใช้ใบข้าวมาห่อหุ้ม และกัดกินอยู่ภายใน ซึ่งปกติจะพบตัวหนอนเพียงตัวเดียวในใบห่อข้าวนั้น
การป้องกันและกำจัด
1.ในพื้นที่ระบาดเป็นประจำควรปลูกข้าวสลับพันธุ์ 2พันธุ์ขึ้นไปจะช่วยลดความรุนแรงของการระบาดได้ 2.ควรกำจัดวัชพืชอาศัย เช่น หญ้าข้าวนก หญ้านกสีชมพู หญ้าปล้อง หญ้าไซ หญ้าชันกาดและข้าวป่า
3.เมื่อมีการระบาดของหนอนห่อใบ ไม่ควรใช้ปุ๋ยไนโตรเจนเกิน 5 กก./ไร่ หรือปุ๋ยยูเรียไม่เกิน 10 กก./ไร่ ควรแบ่งใส่ปุ๋ยช่วงข้าวกำลังเจริญเติบโตและลดปริมาณปุ๋ยที่ใส่ โดยปุ๋ยสูตร 16-20-0 ใส่ไม่เกิน 30 กก.
4.เมื่อตรวจพบผีเสื้อหนอนห่อใบข้าว 4-5 ตัว/ตรม.และพบใบข้าวถูกทำลายมากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ในนาข้าวอายุ 15-40 วัน ให้ใช้สารฆ่าแมลงประเภทดูดซึม เฉพาะพื้นที่ใบถูกทำลายจนเห็นรอยขาวๆ
หนอนห่อใบข้าว
3.โรคขอบใบแห้ง แจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกและความชื้นในอากาศสูง ซึ่งเหมาะต่อการระบาดของโรคขอบใบแห้ง สามารถระบาดได้ตั้งแต่ระยะกล้า แตกกอ จนถึงออกรวง ใบที่เป็นโรคจะแห้งเร็ว โดยแผลจะขยายไปตามความยาวของใบ บางครั้งขยายเข้าไปข้างในตามความกว้างของใบ กรณีต้นข้าวมีความอ่อนแอต่อโรคและเชื้อโรคมีปริมาณมากจะทำให้ท่อน้ำอาหารอุดตัน ต้นข้าวจะเหี่ยวเฉาและแห้งตายทั้งต้นโดยรวดเร็ว เรียกว่าอาการของโรคนี้ว่า ครีเสก
การป้องกันและกำจัด
1.ใช้พันธุ์ที่ต้านทาน เช่น พันธุ์สุพรรณบุรี 60, 90,1,2 กข 7 และ กข 23
2.ในดินที่อุดมสมบูรณ์ไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมาก
3.ไม่ควรระบายน้ำจากแปลงที่เป็นโรคไปสู่แปลงอื่น
4.ควรเฝ้าระวังการเกิดโรคถ้าปลูกข้าวพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคนี้ เช่น พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กข 6 เหนียวสันป่าตอง พิษณุโลก 2 ชัยนาท 1 เมื่อเริ่มพบอาการของโรคบนใบข้าว ให้ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น ไอโซโพรไทโอเลน คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ เสตร็จโตมัยซินซัลเฟต+ออกซีเตทตราไซคลินไฮโดรคลอร์ไรด์ ไตรเบซิคคอปเปอร์ซัลเฟต
4.ใช้ปุ๋ยแต่งหน้า เพิ่มผลผลิตข้าว
เมื่อจัดการกับปัญหาต่างๆเหล่านี้แล้ว ขอแนะนำให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตข้าวด้วยวิธีใส่ปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยแต่งหน้า โดยต้องใส่ระยะข้าวเริ่มตั้งท้อง ให้สังเกตต้นข้าว มีลักษณะของลำต้นเริ่มกลมหรือเรียกว่า ต้นข้าวกำลัง “ส่วย”หรือแทงเหล็กใน” แต่ถ้าให้แม่นๆ ต้องผ่าต้นข้าวดูที่ข้อบนสุด ถ้าเห็นจุดกำเนิดช่อดอกเป็นรูปสามเหลี่ยม ให้รีบใส่ปุ๋ยทันที เพื่อสร้างดอก สร้างรวง หากมีการใส่ปุ๋ยแต่งหน้าเสริมในช่วงก่อนเก็บเกี่ยว 60 วันแล้ว จะทำให้ข้าวติดเมล็ดดี มีจำนวนเมล็ดต่อรวงมากขึ้น ผลผลิตต่อไร่สูงเปอร์เซ็นต์ต้นข้าวดี
โรคขอบใบแห้ง
ปุ๋ยแต่งหน้า ให้ใช้สูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ หรือสูตร 21-0-0 ในอัตรา 10-20 กิโลกรัม/ไร่ การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าเป็นการเพิ่มผลผลิตข้าวโดยตรง ยิ่งถ้าใส่ถูกช่วง ถูกเวลา ถูกอัตรา ถูกสูตร ยิ่งทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มมากกว่าครึ่ง แต่อย่าใช้ปุ๋ยสูตรนี้ในช่วงอื่น จะทำให้ข้าวเผือใบ
ถ้าต้องการใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 แต่งหน้าในนาข้าว เพราะคิดจะได้ข้าวมาก จำเป็นต้องใช้ในอัตราที่มากกว่าสูตร 46-0-0 คือ ประมาณ 20-25 กิโลกรัมต่อไร่ และมีราคาแพง ที่สำคัญก็คือใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 แต่งหน้า จะทำให้มีธาตุอาหารสองตัวท้ายตกค้างในดิน ทำให้ดินเสื่อม โครงสร้างดินเสีย เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในดินได้
ทั้งนี้ หากมีปัญหาขอคำแนะนำเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอหรือศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลที่ใกล้บ้านท่านทุกตำบล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง