ปรากฏการณ์ "นาคี 2" ปลุกคนทำหนังไทย?

          “นาคี 2” ที่กำลังโลดแล่นสร้างความประทับใจในโรงภาพยนตร์อยู่ในขณะนี้ สามารถกวาดรายได้สูงนับตั้งแต่เปิดตัว 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา วันแรกทำรายได้ 17.77 ล้านบาท และถ้านับทั้งประเทศประมาณ 52.5 ล้านบาท ถือเป็นภาพยนตร์ไทยที่มีรายได้เปิดตัวสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของปีนี้

          เมื่อฉายไป 5 วัน (18-22 ต.ค.) มีตัวเลขเพิ่มที่ 200 กว่าล้าน มุ่งหน้าสู่ 300 ล้านบาท ถือว่าลบคำวิจารณ์คนในวงการภาพยนตร์อยู่เหมือนกันว่า เรื่องที่ทำได้ดีจากละครแล้วจะสามารถมา “ขาย” ในโรงภาพยนตร์ได้หรือ?

          แต่จริงๆ การที่หนังนาคีประสบความสำเร็จมีหลายปัจจัย เริ่มตั้งแต่ผู้สร้างจากการจับมือกันของดู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์, เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และบีฮีมอธ แคปิตอล โดยมีค่ายโรงหนังใหญ่อย่างเอ็ม พิคเจอร์ส จำหน่ายและเผยแพร่ ซึ่งการตลาดที่คิดวางแผนมาอย่างดี ซึ่งการใช้สื่อทีวีเครือข่ายวิกพระรามสี่สามารถหนุนนำให้หนังเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และเดินสายทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้หนังถูกพูดถึงมากขึ้น

         และการเลือกให้นาคี 2 ลงโรงฉายช่วงออกพรรษาก็ยิ่งมีผลในต่างจังหวัด การดึงเอากระแสบั้งไฟพญานาคในคืนวันออกพรรษามาเป็นจุดเชื่อมโยง รวมทั้งให้ “ญาญ่า" อุรัสยา ร่วมรำบวงสรวงบูชาพญานาค บริเวณลานนาคาเบิกฟ้า หน้าวัดไทย ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จุดหลักในการจัดงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคโลกซึ่งเป็นการตอกย้ำให้ผู้คนต้องไปชมในโรงภาพยนตร์

          แม้แต่ในสื่อโซเชียลเองการปั่นกระแสของคนที่ไปดูหนังมาแล้วต่างช่วยกันโพสต์ปลุกกระแสปากต่อปากด้วยจึงกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือใช้กลยุทธ์ทั้งแบบ “ป่าล้อมเมือง” ทำอีเวนท์ต่างๆ เกี่ยวกับความเชื่อให้ชาวบ้านที่มีศรัทธาออกไปดูหนัง แต่ไม่ได้ทิ้ง “คนเมือง” เพราะกระบอกเสียงทีวีวิกพระรามสี่ที่ฐานผู้ชมในเขตเมืองหนาแน่นก็เสริมส่งกันไปด้วย

          ขณะเดียวกันถ้ามองภาพยนตร์ไทยในช่วงนี้ พรชัย ว่องศรีอุดมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเมเจอร์ กรุ๊ป เผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยปรับตัวดีขึ้น คาดการณ์ปีนี้เติบโต 100% เป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ทั้งด้านการผลิต การทำตลาด ให้มีความหลากหลายรองรับความต้องการของตลาดผู้ชมมากขึ้น รวมทั้งใช้กลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมายแบบเซ็กเมนท์เทชั่นมากขึ้นทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้รับความนิยมอย่างมาก

          โดยช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท 4 เรื่อง ได้แก่ น้องพี่ที่รัก จากค่ายจีดีเอช, ไบค์แมน ศักรินทร์ ตูดหมึก-เอ็ม 39, ขุนพันธ์ 2-สหมงคลฟิล์ม และ ๙ ศาสตรา-เอ็ม พิคเจอร์ส มากกว่าปีก่อนที่มีภาพยนตร์ไทยทำรายได้เกิด 100 ล้านบาท เพียง 3 เรื่องคือ ส่ม ภัค เสี้ยน-เอ็ม พิคเจอร์ส, Bad Genius ฉลาดเกมส์โกง-จีดีเอช และมิสเตอร์เฮิร์ท มือวางอันดับเจ็บ

          “ไตรมาส 4 นี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยน่าจะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท มาจากตลาดกรุงเทพฯ 500 ล้านบาท ต่างจังหวัด 500 ล้านบาท โดยเฉพาะนาคี นับเป็นภาพยนตร์ที่สร้างกระแสดีมาก 4 วันทำรายได้ 213-218 ล้านบาท ถือว่าสูงกว่าช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องพี่มากพระโขนงเข้าฉาย จากการตอบรับที่ดีดังกล่าวคาดว่านาคีจะเข้าฉายนาน 8 สัปดาห์ มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท แต่หากกระแสดีอย่างต่อเนื่องอาจทะลุ 1,000 ล้านบาท”

          ยังมองว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเป็นขาขึ้น เอ็ม พิคเจอร์ส วางแผนปี 2562 จัดสรรงบลงทุนรวม 400 ล้านบาทในการผลิตภาพยนตร์ โดย 100 ล้านบาท เป็นงบลงทุนสำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ อีก 300 ล้านบาท สำหรับภาพยนตร์ไทยที่เตรียมเข้าฉายประมาณ 12 เรื่อง ทั้งแนวโรแมนติก คอมเมดี้ ดราม่า และสยองขวัญ เพื่อผลักดันภาพรวมผลประกอบการมีอัตราการเติบโตเป็นบวกเช่นเดียวกับปีนี้ และตลาดส่งออกเป็นโอกาสสำคัญของภาพยนตร์ไทยที่มีจุดแข็งของความเป็นไทยที่หากสามารถสร้างคอนเทนท์ได้ตอบโจทย์ตลาดเชื่อว่าจะจุดประกายความน่าสนใจและสร้างกระแสตอบรับได้เป็นอย่างดี

          สำหรับ “นิตี้” มองแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาหนังไทยจะอยู่ในช่วงถูกพายุดิจิทัล ดิสรัปชั่น ทำให้หลายๆ อย่างที่เคยแพงกลับถูกลง จนถูกมองว่า “คุณภาพด้อยลง” หรือเปล่า แต่ถ้าประเมินจากหนังไทยที่ได้ร้อยล้านขึ้นในขณะนี้ ยังเชื่อว่าใครที่มี “ประเด็นดี” และทำการตลาดโดนปลุกคนดูได้ คนนั้นก็รอดแถมโกยตังค์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นโอกาสคนทำหนังรุ่นใหม่ๆ เชื่อว่าจะได้แจ้งเกิดง่ายขึ้น เพราะคอร์สสร้างหนังถูกลงกว่าสมัยก่อน แต่อยู่ที่ว่ามีความรู้ มีของและทำให้โดนคนดูมั้ย!!