ข่าว

"นายกรัฐมนตรี" ใจชื้น "มูดี้ส์" คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คาดเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น "นายกรัฐมนตรี" เชื่อ "มูดี้ส์"คงอันดับความน่าเชื่อถือ ส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟสบุ๊ค แสดงความยินดีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ  มูดี้ส์  (Moody’s Investors Service) ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ระดับ "มีเสถียรภาพ" (Stable Outlook) ซึ่งเป็นมุมมองค่อนข้างเป็นบวกต่อสถานะของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ มาตรการเยียวยาดูแลประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด19 และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง นอกจากนี้ มูดี้ส์ยังมองว่าใน 2-3 ปี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีของไทยปี 2565-2566 จะเติบโต 3.4% และ 4.8% ตามลำดับ ซึ่งการประกาศนี้ย่อมจะมีผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเศรษฐกิจไทยท่ามกลางสถานการณ์โลกที่กำลังผันผวนอย่างรุนแรงในขณะนี้
\"นายกรัฐมนตรี\" ใจชื้น \"มูดี้ส์\" คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย

 

ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่จะต้องดูแลพี่น้องทุกคนในประเทศ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีความปลอดภัย ประเทศชาติสงบร่มเย็น ไม่มีวันใดที่จะไม่คิดถึงหน้าที่นี้ และคิดตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่ผ่านมาเราเผชิญกับวิกฤตหลายประการ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ แต่ก็สามารถแก้ปัญหาสำเร็จลุล่วงไปได้หลายอย่างด้วยความร่วมมือกันของทุกคน เชื่อมั่นว่ารากฐานที่ได้วางไว้ จะทำให้ประเทศไทยที่รักของเราก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง

 

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด ต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปี และถูกซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้นอย่างมากทั่วโลก รัฐบาลมีความเป็นห่วงความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ ผู้มีปัญหาหนี้สิน และธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง จึงได้จัดให้มีการประชุมหลายครั้ง ทั้งเป็นทางการและการปรึกษาหารือนอกรอบ เพื่อหาทางช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และได้สั่งการนโยบายเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นให้มีผลโดยเร็วที่สุด

 

\"นายกรัฐมนตรี\" ใจชื้น \"มูดี้ส์\" คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย

 

มีการจ่ายเงินเข้าบัญชีโดยตรง เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับกลุ่มเปราะบาง 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ (2) เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท (3) เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ นับว่าเป็นมาตรการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายกรัฐมนตรี ระบุอีกว่าก่อนหน้านี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตาม 10 มาตรการด่วนเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมายราว 40 ล้านคน ไปแล้วไม่ว่าจะเป็น
1. กองทุนประกันสังคม : ลดอัตราเงินสมทบ 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.65) แบ่งออกเป็น (1) กรณี ม.33 นายจ้างและลูกจ้าง จ่ายเงินสมทบกองทุนฯ เหลือฝ่ายละ 1% จากเดิม 5% (2) กรณี ม.39 จากเดิม 9% ของฐานค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละ 432 บาท) ให้เหลือ 1.9% (เดือนละ 91 บาท) ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกันตนได้ ประมาณ 1,000 -1,800 บาทต่อคน ในขณะเดียวกันนายจ้างก็มีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้นด้วย

2. กระทรวงแรงงาน : เพิ่มการจ่ายเงินสมทบให้ผู้ประกันตนขึ้น อีก 2.95% ของค่าจ้าง (ช่วง 3 เดือน พ.ค.-ก.ค.65 ที่ลดอัตราส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม) เพื่อไม่ให้กระทบการจ่าย "เงินบำเหน็จชราภาพ" แก่ผู้ประกันตนว่า 4.8 ล้านรายในอนาคต

3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) : เปิด "โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19" เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำรงชีวิตให้แก่เกษตรกร หรือลูกจ้างภาคการเกษตร วงเงินรายละไม่เกิน 10,000 บาท  โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ดอกเบี้ยต่ำ 0.35% ต่อเดือน (flat rate) และปลอดการชำระต้นเงินและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก

4. กระทรวงศึกษาธิการ : จัดตั้ง "สถานีแก้หนี้ครู" 558 แห่งทั่วประเทศ มีครูได้รับประโยชน์ทันทีกว่า 460,000 คน

5. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) : ร่วมกับ 16 สถาบันการเงินจัดทำ "โครงการค้ำประกันสินเชื่อ" (Portfolio Guarantee Scheme) ระยะพิเศษ วงเงิน 90,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มลูกหนี้เดิม ที่มีสินเชื่อคงค้าง สร้างสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและช่วยพยุงการจ้างงาน

6. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) : ตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านถึงสิ้นปี 2565 เพื่อช่วยบรรเทาภาระของผู้กู้ และกระตุ้นการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะมีผู้มาขอสินเชื่อกับ ธอส.ตลอดทั้งปี มูลค่ากว่า 240,000 ล้านบาท

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ