ข่าว

“อลงกรณ์” โพสต์เฟซบุ๊กถึงชาวปชป. ชี้อย่าถูกกลืน !

“อลงกรณ์” โพสต์เฟซบุ๊กถึงชาวปชป. ชี้อย่าถูกกลืน !

07 ธ.ค. 2564

“อลงกรณ์” โพสต์เฟซบุ๊กถึงชาวปชป. อ้างคำพูดท่านชวนเตือนว่า “ไปแล้วให้รักษาอุดมการณ์ อย่าถูกกลืน” เผยอดีตเคยลาออกจากพรรคไปทำงานด้านปฏิรูปประเทศ แต่สุดท้ายก็กลับเข้ามาทำงานกับพรรคอีกครั้ง ยืนยันปชป.ยุคใหม่ไม่ขัดแย้งกันและมุ่งแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชน

วันนี้ (7 ธ.ค.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบทความสั้น ๆ ไว้อย่างน่าสนใจในเฟซบุ๊กส่วนตัววันนี้ (7ธ.ค.) โดยระบุว่า  
  
“อย่าถูกกลืน”
รักและห่วงเพื่อนที่จากไปทุกคน
วันวานอ่านข่าวเห็นท่านชวนเตือนว่า “ไปแล้วให้รักษาอุดมการณ์ อย่าถูกกลืน”
ผมคิดว่าเป็นการฝากหลักการหลักคิดในการครองตนของคนประชาธิปัตย์ที่ออกจากพรรคไปอยู่ที่อื่น 
ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยออกจากพรรคไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป 
ตอนนั้นหมกมุ่นคิดฝันแต่เรื่องการปฏิรูปพรรคปฏิรูปประเทศ 
ตั้งใจไปทำแผนปฏิรูปประเทศเหมือนสถาปนิกออกแบบพิมพ์เขียวเสร็จก็จบงาน
2 ปีกว่าที่อยู่ท่ามกลางอำนาจและโอกาส แถมมีตำแหน่งเป็นรองประธานสปท.คนที่.1 

 

ลาภยศสรรเสริญกองอยู่ตรงหน้า ถ้าเดินต่อบนเส้นทางนั่น
มันน่าถูกกลืนเหลือเกิน ถ้าคิดเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์และอนาคตของตัวเอง
คำเชิญคำชวนมาทั้งก่อนและหลังพ้นตำแหน่ง
แต่ผมก็ตัดสินใจตอนนั้นว่าจะวางมือทางการเมืองเพื่อไม่ต้องเดินทางบนถนนการเมืองอีก หรือไม่ก็กลับบ้านหลังเก่าคือประชาธิปัตย์

ก็มีคำถามตามมาว่าทำไมถึงกลับประชาธิปัตย์
ผมบอกว่ามี 4 เหตุผลหลัก
1.ถ้าจะเดินต่อทางการเมืองไปอยู่พรรคใหม่ ก็ต้องสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ 
ผมทำไม่ได้ครับ ที่จะต้องรบราทำศึกกับพี่น้องของผม และประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่ต้องรักษาไว้
    
2.เมื่อครั้งเดินทางเข้าพรรค สมัครเป็นสมาชิกลงเลือกตั้งที่เพชรบุรีปี 2535/1 บนเวทีปราศรัยที่สนามหน้าเขาวัง มีท่านชวนหัวหน้าพรรคในขณะนั้นนั่งอยู่ด้วย ผมประกาศกับประชาชนคนเมืองเพชรว่าผมเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์และจะตายที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเดียว 
    
3.ผมอยากกลับมาปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ตามฝันที่คิดไว้ตอนเสนอปฏิรูปพรรคเมื่อปี 2556
    
4.บ้านเมืองยังวิกฤติ ประชาธิปัตย์คือความหวังเพราะเป็นสถาบันการเมืองหลัก

แล้วผมก็กลับมาของานทำที่พรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม 
เลือกกลับมาทั้งที่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และจะอยู่อย่างไรในปลายปี 2561เพราะผมคงเป็นคนเดียวที่ทั้งก่อนจากไป และเมื่อกลับมา โดนดุด่าว่ากล่าวหนักหนาสาหัสมากจากพี่ ๆ น้อง ๆ ในพรรค

 

ถ้าคิดน้อยใจหรือไม่อดทนก็คงพกความแค้นติดตัวเตลิดไปแล้ว
เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตบนทางแพร่งที่ต้องตัดสินใจของผม
ต้องเลือกระหว่างอนาคตของตัวเองหรืออนาคตของพรรค 
เป็นการเลือกครั้งที่ 2 เหมือนครั้งแรกที่ตัดสินใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2534

 

กว่า 20 ปี ที่ร่วมรบทำศึกในสนามเลือกตั้งแพ้บ้างชนะบ้าง และเมื่อพรรคมอบหน้าที่เป็นประธานตรวจสอบทุจริต ก็โดนคดีอาญาร่วม 20 คดี โดนฟ้องทางแพ่งเป็นพัน เป็นหมื่นล้าน ต่อสู้คดีมากว่า10 ปี เรียกว่าบาดแผลเต็มตัวเต็มผืนหลัง

เขียนมาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และเป็นอีกข้อคิดเตือนใจ
สำหรับชาวประชาธิปัตย์ทุกคนที่เมื่อถึงโมเมนต์ที่ต้องตัดสินใจ
หรือถ้าไปแล้วก็กลับมาได้ ถ้าอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงหรือถูกกลืนเสียก่อน ตามข้อเตือนใจของท่านชวน

สำหรับผม วันนี้อายุก็มากแล้ว แต่ก็ขอเป็นคนหนึ่งที่จะยืนหยัดสู้ร่วมกับพี่น้องประชาธิปัตย์ต่อไป บ้านเมืองวันนี้เผชิญวิกฤติรุนแรง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าจากปัญหาเศรษฐกิจและโควิด19 การเมืองก็มีแต่ความแตกแยกแบ่งฝ่ายยาวนานมาร่วม 20 ปี


 
ประชาธิปัตย์ยุคใหม่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา จะไม่สร้างความขัดแย้ง แต่จะแก้ไขปัญหาความแตกแยกด้วยแนวทางประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐนิติธรรม เรามีแผนปฏิรูปฟื้นฟูกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่


    
ประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองหลักของประเทศ ต้องเข้มแข็งจึงจะสามารถช่วยประเทศและประชาชนให้พ้นทุกข์ พ้นภัย สร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง พัฒนาเศรษฐกิจให้ถูกทาง โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญเอาประโยชน์ส่วนตนไว้ข้างหลัง

นี่คือภาระหน้าที่ของเรา ชาวประชาธิปัตย์ทั้งในวันนี้และวันหน้าครับ.
…..อลงกรณ์ พลบุตร 7/12/2564