ข่าว

นศ.เกียรตินิยม เปลี่ยนใจเข้าพระราชทานปริญญาฯ หลังเห็นปฏิกริยาของคนที่บ้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นศ.เกียรตินิยม เปลี่ยนใจเข้าพระราชทานปริญญาฯ หลังเห็นปฏิกริยาของคนที่บ้าน ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่อยากไปเพราะมันค่อนข้างเหนื่อย แถมต้องเดินทางไกลด้วย

โลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวของสาวนักศึกษาท่านหนึ่ง ที่ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเผยถึงเหตุผลที่ตนเองอยากเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความรู้สึกอยากจะทำแบบนี้มาก่อน แต่พอเมื่อได้เห็นปฏิกริยาของคนในครอบครัวที่รู้สึกตื่นเต้น ตื่นเต้นมากกว่าตนเองด้วยซ้ำ 

 

จากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงความคิดของตัวเองก็เปลี่ยนไป เพราะเธอได้รู้ว่า ตนเองคือความภาคภูมิใจของพ่อแม่อย่างแท้จริง

สาวนักศึกษาได้เล่าเรื่องราวดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

 

"แม่ ป๊า หนูไม่เข้ารับปริญญาไม่ได้เหรอ? มันค่อนข้างเหนื่อยนะ แถมต้องเดินทางไกลด้วย" ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา สีหน้าป๊ากับแม่ก็ดูจะผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ก่อนป๊าจะพูดขึ้นว่า

 

"ป่าป๊าไปส่งก็ได้ ไปรับก็ได้นะ"

 

"ให้เขาส่งใบปริญญามาที่บ้านก็ได้นะ ป๊ากับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย"

 

"ความรู้สึกมันไม่เหมือนกันนะ"

 

ป๊าพูดแบบนั้น ทำให้แพรฉุกคิดถึงคำพูดของเพื่อนสนิทที่บอกว่า "ชีวิตคนเรามันขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกนะมึง ไม่ใช่เหตุผล"

 

แปลกดีนะ ปกติแพรก็เป็นคนใช้ความรู้สึกในการใช้ชีวิตมาโดยตลอด สังเกตได้จากหลายบทความที่เขียน แต่พอเป็นเรื่องนี้เรากลับเอาเหตุผลของตัวเองโยนกลับไปให้พ่อกับแม่ที่ตั้งตารอวันนี้อยู่ เหตุเพราะเขาไม่เคยได้มีวันนี้

 

หลายคนอาจจะบอกว่า พ่อแม่ก็ไม่ควรตั้งความหวังไว้กับลูก แพรก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้นเช่นเดียวกันและรู้สึกแบบนั้น จนกระทั่งก่อนวันซ้อมรับปริญญาที่ประสานมิตร

 

เราขัดรองเท้าเพื่อเตรียมใส่ไปซ้อมในวันถัดไปเรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนระหว่างที่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ กลับเห็นไฟเปิดอยู่

 

เดินเข้าไปดูก็พบว่า อาม่าเอารองเท้าที่เราจะต้องใส่เพื่อเข้ารับปริญญามานั่งเช็ด และขัดด้วยตัวเอง เราก็ตกใจ รีบเดินไปบอกว่า อาม่าขัดรองเท้าให้แพรทำไม ไม่ต้องขัดหรอก แพรขัดไปแล้ว

 

อาม่าทำสีหน้าหงุดหงิดก่อนบอกว่า

 

"ลื้อขัดไม่สะอาดเท่าอั๊วขัดหรอก!!!" และโบกมือให้เราไปนอนถึงจะพยายามยื้อเเย่งรองเท้าคืนมา แต่แกก็ไม่ยอมและตั้งหน้าตั้งตาขัดต่อไป

 

แกดูตื่นเต้นกว่าคนรับอีก

 

นั่นเป็นเหตุผลแรกที่ความคิดที่จะหลบหนีการซ้อมในวันถัดไปหายไป คงรู้สึกแย่มากกว่ารู้สึกดีแน่ๆ ถ้าจะทำร้ายความรู้สึกของเขาที่ตั้งใจขัดรองเท้าให้เราขนาดนี้

 

จริงๆ เหตุผลที่ไม่อยากไปงานรับปริญญามีหลายอย่าง จิตใจในปีนี้ไม่พร้อมสำหรับอะไรเลยสักอย่าง ทั้งการพบปะผู้คน ความรู้สึกเหงา รับมือกับอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะได้ ทั้งเรื่องเก็บเงิน วางแผนอนาคต มีปัญหากับเพื่อน ฯลฯ

 

อย่าว่าแต่จะไปงานรับปริญญาที่ต้องพบปะคนมากมายเลย แค่เดินออกจากบ้านยังไม่อยากจะทำเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการที่ต้องไปเจองานที่คนเยอะๆ และก็ไม่รู้จะเอาตัวเองไปลงไว้ตรงไหน จนถึงวันซ้อมรับปริญญาช่วงเช้า รู้สึกเศร้าจนอยากจะหนีกลับบ้าน น้ำตาก็คลอๆ แต่ก็บังคับไว้เพราะกลัวหน้าพัง คิดแค่ว่าเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะมานะ จะได้รีบกลับบ้านสักที

 

ความรู้สึกเศร้าค่อยๆ คลายหายไปเมื่อคนที่เราไม่คิดว่าจะมาก็มาหาเราด้วยความตั้งใจ เราไม่ได้คิดว่าเขาจะมาด้วยซ้ำ แต่เขาก็เต็มใจสละเวลามาหาเรา ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนร่วมงาน รุ่นพี่ รุ่นน้อง รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณมากๆ จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ความเศร้าก็ยังหน่วงๆ อยู่ในใจลึกๆ จนกระทั่งตอนที่พ่อกับแม่เดินมาหาเรา

 

ทันทีที่เห็นรอยยิ้มพ่อกับแม่ คือสัมผัสได้ว่าเขาดีใจมาก ดีใจแบบที่เราไม่เคยเห็นยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย ยิ้มของป๊าทำให้ในหัวฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า "เขาดีใจขนาดนี้ แล้วเราจะต้องเศร้าอะไรอีก?"

 

ทำไมเราจะต้องเศร้าในวันที่คนที่รักเราที่สุด ดีใจที่สุดด้วยวะ สิ่งหนึ่งที่เราคิดได้เลยคือ คนมักบอกเสมอว่าพ่อแม่หลายคนชอบเอาลูกเป็นความภูมิใจของตัวเอง ก็ไม่ผิด หลายครั้งพ่อแม่ก็แสดงออกแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าหลังจากที่เราเห็นรอยยิ้มพ่อในวันนั้น

 

เรากลับรู้สึกว่า ไม่ใช่หรอก เราไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจของเค้าเพียงอย่างเดียว แต่เราเป็นคนที่ทำให้พวกเขาทั้ง 2 คน "ภาคภูมิใจในตัวเอง" เขาจะต้องภูมิใจในตัวเขาเอง ที่เลี้ยงคนคนหนึ่งให้เติบโตมาบนโลกใบนี้ได้

 

สิ่งสำคัญและความเชื่อที่หล่อเลี้ยงจิตใจเขาคือภาพที่เราได้รับพระราชทานปริญญาบัตร ที่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้รับ ในยุคของพ่อแม่เรา ภาพนั้นมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเขามากและความรู้สึกของพ่อแม่แพรสำคัญกว่าเวลาที่จะต้องเสียไปอย่างแน่นอน

 

ดังนั้นเราจึงเข้าพิธีเพื่อเติมเต็มความรู้สึกของเขา ถึงแม้จะเหนื่อยและหิวมาก แต่เราอยากที่จะเป็นคนที่ทำให้พ่อ แม่ อาม่า และ น้าที่เลี้ยงดูเรามา ภูมิใจ ไม่ใช่ภาคภูมิใจในตัวเรา แต่ภูมิใจในตัวพวกเขาเองต่างหาก ว่าเขาเก่งมาก เก่งมาตลอดที่เลี้ยงเด็กดื้อคนนั้นจนโตขนาดนี้ได้

 

และแพรรู้ว่าเขาจะต้องภูมิใจในตัวเอง อาจจะโดนคนอื่นมองเราแบบที่เข้าใจผิดไป อาจจะถูกมองว่าเสียเวลา ก็ช่างเถอะ เขาไม่เข้าใจเราเท่าตัวเราเองหรอกเนอะ

ก็แค่ยอมแลกเวลา 4 วันกับการเติมเต็มช่องว่างของความรู้สึกผู้ใหญ่ที่รักเรามากและเริ่มแก่ตัวลง มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราเสียเท่าไหร่หรอก เราสัมผัสได้ถึงความที่เขาผิดหวังในตัวเองมาตลอดชีวิต เขามักจะพูดว่า "แม่และน้าอยากให้เราได้มากกว่านี้ แต่ทำไม่ได้, ป่าป๊าเป็นคนไม่เก่ง และหัวไม่ดีเลย"

 

เราสัมผัสความรู้สึกของเขาได้มาเป็นเวลานานแล้ว เกินกว่า 10 ปี ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเขาเก่งมาก แต่ลึกๆ แล้วตัวเขาเองก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ

 

ดังนั้นแล้ว ก็จะขอเป็นคนที่ทำให้พวกเขาที่ดูแลเรามาตลอด ภูมิใจในตัวเองเถอะว่า พวกเขาเก่งมาก ปริญญาบัตรฉบับนี้ แพรไม่ได้เป็นคนรับ แพรเป็นเพียงแค่ตัวกลางเท่านั้น พวกเขาต่างหากที่เป็นคนได้รับมันอย่างแท้จริง

 

ปล. เราอีกภาพหนึ่งที่เราชอบมาก คือ การที่อาม่าพยายามนั่งแกะตัวอักษรภาษาไทยบนใบปริญญาเพื่ออ่านออกเสียงออกมา เพราะเขาไม่ได้เรียนภาษาไทยมา การอ่านภาษาไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขานัก กว่าจะอ่านคำว่าเกียรตินิยมได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายนาทีเลยทีเดียว คนเราจะยอมทำเรื่องที่รู้สึกยากทั้งที่ไม่มีความจำเป็นหรือ? ถ้าเขาไม่รู้สึกว่ามันสำคัญสำหรับเขา

 

ในส่วนของคนที่ไม่ได้เข้ารับ ไม่ได้มีปัญหาหรือแย่เลย ทุกคนล้วนมีเหตุผลและความรู้สึกเป็นของตนเอง ถ้าครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงตัวเราเองโอเค ก็ถือเป็นความสำเร็จและความสุขได้เช่นกัน ต่างคนต่างวาระ ไม่ตัดสินกัน ทุกคนเก่งมากๆ ในทางของตัวเอง"

 

 

 

นศ.เกียรตินิยม เปลี่ยนใจเข้าพระราชทานปริญญาฯ หลังเห็นปฏิกริยาของคนที่บ้าน

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ