ข่าว

อุทาหรณ์ หนูน้อย 2 ขวบกลืนเหรียญลงคอ หลังผู้ปกครองปล่อยให้อยู่ลำพัง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก เคสอุทาหรณ์เตือนผู้ปกครอง กรณีหนูน้อย 2 ขวบกลืนเหรียญลงคอ หลังผู้ปกครองปล่อยให้อยู่ลำพัง หลังกินนมเสร็จไม่นาน

นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเตือนผู้ปกครอง กรณีหนูน้อยวัยเพียง 2 ขวบ ที่กลืนเหรียญลงคอ หลังถูกปล่อยให้อยู่บ้านเพียงลำพัง หลังกินนมเสร็จไม่นาน

เด็กเล็กอายุ 2 ขวบเศษหยิบเหรียญบาทเข้าปากกลืนลงคอไปติดค้างในหลอดอาหารส่วนปลาย

 

เตือนเป็นอุทาหรณ์อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้

 

กรณีเด็กอายุ 2 ขวบเศษ หลังกินนมเสร็จประมาณ 30 นาที ถูกปล่อยให้เล่นในบ้านคนเดียว พอผู้ดูแลเผลอ หันมาดูอีกที เด็กมีอาการสำรอก อาเจียนออกมาเป็นนมเต็มพื้น ร้องงอแง มีน้ำลายฟูมปาก จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลเดินทางอีกประมาณ 30 นาที

 

จากการสอบถาม มารดาให้ประวัติไม่ชัดเจนว่าเด็กหยิบสิ่งของเข้าปากหรือไม่ แต่แพทย์เวรที่ห้องฉุกเฉินสงสัยว่าอาจกลืนสิ่งของเข้าไปในคอ จึงส่งเอกซเรย์เป็นการด่วนพร้อมทั้ง งดน้ำและอาหาร ให้น้ำเกลือ เมื่อดูเอกซเรย์พบว่ามีวัตถุกลมๆ คล้ายเหรียญ ติดค้างในหลอดอาหารส่วนปลาย เด็กจะงอแงร้องกวนมาก ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจ

 

เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเวลาผ่านมากว่า 1 ชั่วโมง เหรียญยังไม่ไปอยู่ในส่วนของกะเพาะอาหาร จึงประเมินว่าอาจติดค้างในตำแหน่งดังกล่าว หากปล่อยทิ้งไว้ เหรียญจะไปกดหลอดอาหารจนขาดเลือดไปเลี้ยง จนเป็นแผลทะลุในที่สุด การรักษายิ่งยุ่งยากซับซ้อน อันตรายถึงชีวิตได้ หรือแม้แต่หากหลุดลงไปในกะเพาะลำไส้เล็ก ทางเดินอาหาร ก็สามารถทำให้ลำไส้อุดตันได้ จนต้องผ่าตัดเปิดช่องท้องในภายหลัง ยิ่งอันตราย

 

แพทย์เวรอีอาร์จึงส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก ได้ร่วมพิจารณากับแพทย์ดมยาสลบ กุมารแพทย์ และทีมพยาบาล เห็นควรให้ส่องกล้องเพื่อคีบดึงออกเป็นการด่วนจะเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด ต้องใช้กล้องส่องตรวจแบบพิเศษ ที่สามารถสอดลงไปในหลอดอาหาร มีภาพให้เห็นทางหน้าจอ สอดใส่เครื่องมือผ่าตัดไปทางกล้องที่ส่องตรวจ เพื่อคีบสิ่งแปลกปลอมออกมา ใช้กล้องขนาดสำหรับเด็กเล็ก ต้องทำภายใต้การใส่ท่อดมยาสลบ ป้องกันการสำลักลงไปในปอด

จนในที่สุดสามารถคีบเอาเหรียญออกมาได้ หลอดอาหารมีแผลเล็กน้อยแต่ไม่ทะลุ นอนในโรงพยาบาลอีก 2 วันสังเกตอาการก็กลับบ้านได้

 

มีทีมแพทย์ พยาบาล อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความพร้อมด้านเครื่องมือในการรักษาด้วย และเครื่องมือเหล่านี้มักมีราคาแพง จึงขอยกเป็นอุทาหรณ์เตือนผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กเล็กกันอีกครั้ง

 

 

 

CR เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ