WHO ปรับคำแนะนำใหม่ ทุกคนจงสวมหน้าในที่สาธารณะหากรักษาระยะห่างไม่ได้

ในที่สุด องค์การอนามัยโลก ( WHO ) ก็ปรับหลักการครั้งใหญ่เรื่องการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 โดยเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ กระตุ้นประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกไปในที่สาธารณะ และยากที่จะรักษาระยะห่างทางร่างกาย โดยคำแนะนำปรับใหม่ขององค์การอนามัยโลก ประกอบด้วย  1. ให้บุคลากรทุกคนที่ทำงานในพื้นที่รักษาพยาบาล สวมหน้ากากตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะคนที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อย่างเดียว  2. ในพื้นที่ที่ยังมีการแพร่ระบาดในชุมชน ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ในสถานที่ที่ไม่สามารถรักษาระยะห่างทางร่างกาย เนื่องจากมีความเสี่ยงคิดเชื้อและ/หรือผลลบ  ส่วนประชาชนทั่วไป ควรสวมหน้ากากผ้า 3 ชั้น เป็นผ้าฝ้ายอยู่ชั้นในสุด ตามด้วยผ้าโพลีโพรพิลีน และผ้าใยสังเคราะห์ที่ของเหลวไม่ซึม หน้ากากชนิดนี้สามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่บริษัทเล็กๆก็อาจเริ่มผลิต ซึ่งยังเป็นการช่วยสร้างงาน

WHO แนะนำด้วยว่า ประชาชนควรสวมหน้ากากป้องกัน ไม่เฉพาะอยู่บนรถโดยสารและรถไฟ แต่ยังควรสวมไว้ทุกครั้งเมื่อการรักษาระยะห่างทางร่างกายอาจทำได้ยาก เช่น ในร้านขายของชำ ที่ทำงาน การรวมตัวทางสังคม  การชุมนุมคนหมู่มาก และสถานที่ปิด รวมถึงโรงเรียน โบสถ์ และสถานประกอบกิจกรรมทางศาสนา  

ตลอดเวลาที่ผ่านมา องค์กรที่ดูแลเรื่องสาธารณสุขโลก ไม่สนับสนุนให้สวมหน้ากากหากไม่ป่วยหรือไม่ได้ดูแลคนป่วย ด้วยเหตุผลว่าไม่พบหลักฐานว่าช่วยได้ ทั้งอาจทำให้คนละเลยมาตรการสุขอนามัยอื่นที่สำคัญกว่าคือล้างมือบ่อยๆ กับควรเก็บหน้ากากไว้ให้บุคลากรการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ  คำแนะนำใหม่มีขึ้นหลัง WHO สั่งทำวิจัยว่าหน้ากากแบบใดช่วยปกป้องประชาชนในชุมชนได้ กระนั้น สิ่งที่้เน้นย้ำก็คือ หน้าอาจไม่อาจทดแทนการรักษาระยะห่าง และการล้างมือ