"หมออ๋อง" ส.ส.พรรคก้าวไกล อัดแคมเปญ "เราไม่ทิ้งกัน" ล้มเหลว ชี้ประชาชนเดือดร้อนมหาศาล พร้อมเสนอ 6 มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและทางแก้ปัญหาปากท้อง
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2563 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.เขต 1 พิษณุโลก พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงเพจเฟซบุ๊ก วิจารณ์มาตรการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาผ่าน พ.ร.ก.การบริหารแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการเยียวยาผ่านมาตรการ "เราไม่ทิ้งกัน" ที่มีประชาชนตกค้างไม่ได้รับการเยียวยาเป็นจำนวนมาก
อ่านข่าว "เจ๊แมว" อดีต ส.ส.มหาสารคาม ชม "บิ๊กตู่" แก้โควิดถูกทาง
นายปดิพัทธ์ ระบุว่า ตนเข้าใจในความจำเป็นในทางสาธารณสุข ที่ทำให้ยังคงต้องใช้ พ.ร.ก.การบริหารแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเรายังไว้ใจสถานการณ์ไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งตัวเลขของคนที่ฆ่าตัวตายก็สูงขึ้น และปัญหาปากท้องก็เป็นวิกฤติที่รุนแรงไม่แพ้กัน
นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อว่า การปิดเมืองต่อโดยที่ไม่ปิดประเทศ และไม่มีการเยียวยาประชาชนอย่างถ้วนหน้า จะนำพาความเดือดร้อนทุกข์ยากแสนสาหัสมาสู่คนพิษณุโลกและจังหวัดอื่นๆเพิ่มขึ้น ขณะนี้กลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่มพื้นที่เสี่ยง เช่น ผับ บาร์ ร้านอาหาร แผงพระ ร้านเกมส์ ถนนคนเดิน ตลาดนัด ร้านนวด ร้านตัดผม และอื่นๆ เป็นกลุ่มแรกที่ถูกปิด และเป็นกลุ่มท้ายๆที่จะเปิดได้ และเป็นกลุ่มที่โดนค่าเช่า หนี้สินทั้งในและนอกระบบ คำขู่ยึดที่ ยึดรถ ไล่ออกจากห้องเช่า แผงต่างๆไล่ตามจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร
"คำถามคือแล้วรัฐช่วยพวกเขาให้อยู่บ้านเฉยๆได้อย่างไร พวกเขาควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการยกเว้นค่าเช่า มอบถุงยังชีพ และดูแลครอบครัวพวกเขาไม่ใช่หรือ แต่ทำไมมีแต่คำสั่งปิด และทิ้งกลุ่มนี้ไว้ในฐานะที่เสี่ยงกับคนที่เหลือ นี่คือความไม่ยุติธรรม ไม่รอบคอบ ไม่มีประสิทธิภาพในการออกนโยบาย" นายปดิพัทธ์ ระบุ
นายปดิพัทธ์ กล่าวต่ออีกว่า ผู้ออกนโยบายเกือบทั้งหมด เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับผลกระทบด้านการเงินจากสถานการณ์โควิด เพราะได้รับเงินเดือนเต็มจากภาษีของประชาชนทุกเดือน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจ ถ้าปราศจากการรับฟังและร่วมออกแบบมาตรการกับภาคประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายที่ออกมา
"แคมเปญ เราไม่ทิ้งกัน สวนทางกับคนจำนวนมหาศาลที่ถูกทิ้ง ซึ่งผมพบเจอทุกวัน ด่านต่างๆที่รับผิดชอบโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รับผิดชอบงานใหญ่มาก รับผิดเต็มๆถ้ามีข้อผิดพลาด แต่ไม่ได้รับชอบไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุน ผู้นำในตำบลต่างๆต้องระดมเงินทั้งของท้องถิ่นและส่วนตัวโปะเข้าไปกับงานที่มีคนจำนวนมากทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน มีอุปกรณ์ เสบียงอาหารที่ต้องกินต้องใช้ตลอดเวลา นี่ก็คือความไม่ยุติธรรมอีกด้านหนึ่ง" นายปดิพัทธ์ กล่าว
นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปถึงข้อเสนอว่า การสั่งปิดเมือง-ปิดกิจการ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากสำคัญ จะทำได้ก็ต่อเมื่อรัฐรองรับการบริการอาหารแบบถ้วนหน้า ทั่วถึง เป็นการบริการ ไม่ใช่การสงเคราะห์ เพราะต่อให้เราผ่อนคลายล็อค แต่ในเมื่อยังไม่มีวัคซีน การตรวจที่เป็นเชิงรุก และการขยายความสามารถในการรองรับทางสาธารณสุข เราก็ต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกหลายเดือน
ทั้งนี้ ในฐานะของผู้แทนชาวพิษณุโลก ตนขอเสนอมาตรที่เราควรทำและสามารถทำได้เลย อย่างน้อยก็ในจังหวัดพิษณุโลก ประกอบไปด้วย
1. ทำด่านการเดินทางสาธารณะต่อไปอย่างเข้มแข็ง และจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ
2. แจกหน้ากาก และ Face shield ให้ทุกคน ทุกบ้าน และบังคับให้ใส่เมื่อออกนอกบ้าน
3. อนุญาตให้ร้านอาหารนั่งทานและร้านตัดผมเปิดได้ แต่จำกัดจำนวนคนในร้านต่อครั้ง ให้ไม่เกินตามที่กำหนด และลูกค้าจะต้องเช็คอินเพื่อส่วนกลางจะได้มีฐานข้อมูลในการเฝ้าระวัง
4. ให้ตลาดนัดมีการจัดการแผงใหม่ ห่างกัน 1.5-2 เมตร มีการสลับคิวให้เข้ามาตั้งร้านได้ไม่เกินที่กำหนด มีทางเข้าทางออกทางเดียว และมีจุดสแกน แจกเจลแอลกฮอลล์ และจุดล้างมือให้บริการ
5. คนที่อยู่ในพิษณุโลกโดยไม่มีอาการครบ 28 วันแล้ว ให้รับการติดสติ๊กเกอร์ที่บัตรประชาชน
และ 6. มีการตรวจเชิงรุกคนที่มีอาการทุกคน ไม่ต้องรอการมาขอตรวจและกักตัวตามมาตรการเดิม
"เรื่องพวกนี้ทำได้ทันที เอาเงินที่ต้องแจกไปเรื่อยๆมาลงทุนด้านมาตรการความปลอดภัย แล้วค่อยๆผ่อนคลายไปทีละพื้นที่-กลุ่มงาน ควบคู่การเยียวยากลุ่มที่ยังเปิดไม่ได้ และผมในฐานะ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ขอเรียกร้องให้มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพราะมีหลายเรื่องที่เราต้องตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะเงินกู้ 2 ล้านล้าน และต้องมีการเสนอมาตรการหลายอย่างที่จะทำให้การแก้ปัญหาโควิดมีประสิทธิภาพขึ้น โดยเราจัดประชุมอย่างปลอดภัยได้ครับ" นายปดิพัทธ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง