ข่าว

จับหนุ่มจีนกว้านซื้อหน้ากาก สาวใหญ่บ่อวินตุน4หมื่นชิ้น

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตม.ล่อจับชายชาวจีนกว้านซื้อหน้ากากอนามัยมาขายต่อในราคาแพง ตร.ชลฯ บุกค้นร้านรับซื้อของเก่าย่านบ่อวิน จับกุมหญิงวัย 46 ปี ฐานกักตุนกว่า 4 หมื่นชิ้น ด้านปชป.สอบกักตุน 23 มี.ค.นี้ "เทพไท"ยันไม่ขัดแย้ง "มัลลิกา" แค่รักษาภาพพรรค

          หน่วยงานภาครัฐยังคงเดินหน้าตรวจสอบการกักตุน กว้านซื้อหน้ากากอนามัย หลังมีการประกาศให้เป็นสินค้าควบคุม พร้อมระบุโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรงทั้งจำและปรับ เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลนและเอารัดเอาเปรียบกันในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้

          วันที่ 20 มีนาคม พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แถลงว่า ตำรวจกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 ได้จับกุมนายหวัง ห่าว ชาวจีน ลักลอบเข้ามากว้านซื้อหน้ากากอนามัยที่ใช้ในทางการแพทย์และนำมาโก่งราคาขายในประเทศไทยในราคาสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยประกาศขายให้ลูกค้าที่สั่งซื้อตั้งแต่ 10,000 ชิ้นขึ้นไป ราคาชิ้นละ 15 บาท เจ้าหน้าที่จึงล่อซื้อจับกุมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางพลี จ.สมุทรปราการ และพบว่าเก็บสินค้าไว้ 37,600 ชิ้น พร้อมให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดเข้าไปตรวจสอบ พบว่าเป็นการกระทำความผิดเรื่องการจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทยราคาสูงกว่าที่ควบคุม ผู้ต้องหารับสารภาพว่า รับหน้ากากอนามัยมาจากโรงงานย่านกิ่งแก้ว และยังให้การที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากอยู่ระหว่างการขยายผล

 

 

 

 

จับสาวใหญ่บ่อวินตุน4หมื่นชิ้น          

          ที่ จ.ชลบุรี พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชลบุรี ตำรวจ สภ.บ่อวิน ร่วมแถลงการจับกุม น.ส.ยุพา สะและวงศ์ อายุ 46 ปี ชาว ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้ในพื้นที่ภูมิลำเนา พร้อมของกลางหน้ากากอนามัย ยี่ห้อ Face Mask กล่องละ 50 ชิ้น บรรจุอยู่ในกล่องสีน้ำตาล จำนวน 9 กล่อง รวมจำนวนหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น 28,000 ชิ้น และหน้ากากอนามัย ยี่ห้อ Thien Thao กล่องละ 50 ชิ้น ทั้งหมดบรรจุอยู่ในกล่องสีน้ำตาล จำนวน 7 กล่อง รวมจำนวนหน้ากากอนามัยทั้งสิ้น 16,000 ชิ้น รวมทั้งสิ้น 42,000 ชิ้น

          เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ ตม.เตรียมดำเนินคดีในข้อหา กักตุนสินค้าควบคุม โดยมีสินค้าควบคุมไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กำหนดไว้ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงควบคุมผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อวิน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กรมค้าภายในถอนฟ้องกรมศุลฯ

          ส่วนความคืบหน้ากรณี นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน แจ้งความดำเนินคดีโฆษกกรมศุลกากร ต่อ บก.ปอท. ในข้อหาหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ จากกรณีมีการให้ข่าวกระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ส่งออกหน้ากากอนามัยรวม 330 ตัน ทำให้กรมการค้าภายในได้รับความเสียหายนั้น

          นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน(คน.) ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการถอนฟ้องโฆษกกรมศุลกากรในข้อหาหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แล้ว เพราะเห็นว่าในขณะนี้ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมมือกันในการแก้ไขและป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อประชาชน มากกว่าที่หน่วยงานรัฐจะมามีปัญหากันเอง

          “การฟ้องร้องกัน ไม่เกิดประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปถอนฟ้อง” นายประโยชน์ กล่าว

ปชป.สอบจันทร์นี้ปมหน้ากาก

          ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าตรวจสอบกรณีมีการกล่าวหาสมาชิกพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนและการส่งออกหน้ากากอนามัย โดยนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ ได้นัดประชุมในบ่ายวันที่ 23 มีนาคมนี้ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ส่วนการที่คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. และคณะอนุกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง ทางพรรคยินดีให้ความร่วมมือ เรื่องนี้พรรคได้เก็บข้อมูลหลักฐานที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวหาว่า มีขบวนการทุจริตหน้ากากอนามัยเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหญิง และเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไว้หมดแล้ว หากการกล่าวหาไม่เป็นความจริง นายอัจฉริยะต้องรับผิดชอบ

          “ที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมายืนยันผลตรวจสอบว่าที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัยนั้น น่าจะเป็นความเห็นหรือการตรวจสอบส่วนตัว เพราะคณะกรรมการตรวจสอบของพรรค เพิ่งเริ่มทำงาน” นายราเมศระบุ

          ส่วนที่มีการถกเถียงกันในไลน์ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช กับ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล ตั้งมหาสุข นั้น นายราเมศ กล่าวว่า พรรคมีความหลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่เชื่อว่าทุกคนรักพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเรื่องที่นายเทพไททำหนังสือขอให้พรรคตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ทางหัวหน้าพรรคก็ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนที่นายเทพไทจะมายื่นหนังสือ

 

 

 

 

"เทพไท"ยันทำเพื่อภาพพจน์พรรค      

          ด้านนายเทพไท ยืนยันว่า เป็นข้อปฏิบัติของพรรคที่ทำสืบต่อกันมา เมื่อมีสมาชิกพรรคผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต บุคคลนั้นจะลาออกจากตำแหน่งทันทีหลังถูกกล่าวหา เพื่อไม่ให้พรรคถูกวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดความเสียหาย เมื่อสอบข้อเท็จจริงแล้วไม่พบความผิด สามารถกลับเข้ามารับตำแหน่งเดิมได้อีก ตนกับนางมัลลิกาไม่มีความขัดแย้งกัน ไม่มีความอิจฉาริษยา หรือทำไปเพื่อหวังผลทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะแม้ว่านางมัลลิกาลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี ตนก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปรับตำแหน่งดังกล่าวแทน

          “ผมขอทำหน้าที่พิทักษ์อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ 10 ข้อ และเงื่อนไข 3 ข้อในการเข้าร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ 3 เรื่องการทุจริต จะต้องบังคับใช้กับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นให้แก่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น และจะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้จะให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบ ดำเนินการเรื่องนี้” นายเทพไท กล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ