หยุดไวรัสโควิด 14 วัน...ทุกข์นี้ของใคร
คอลัมน์ - ขีดเส้นใต้ โดย - นายดินสอ
หลังจากที่เงื้อง่าราคาแพงมานาน ในที่สุดเมื่อ วันอังคารที่ 17 มีนาคม ที่ประชุม ครม. เห็นชอบให้สถานบริการ ในเขตกทม.และปริมณฑล หยุดบริการเป็นเวลา 14 วัน มีผลทันทีในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ประกอบด้วยโรงหนัง-สถานบันเทิง ผับ บาร์ ร้านนวดไทย นวดโบราณ ฟิตเนส ที่เป็นร้านที่เข้าด้วยกฎหมายว่าด้วยสถานบริการให้ปิดทั้งหมด นอกจากนี้ก็มีสถาบันการศึกษา โรงเรียนกวดวิชา โดนหางเลขไปด้วย
ทั้งนี้เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของ”โควิด-19” หลังจากที่ตัวเลขการติดเชื้อในกรุงเทพฯยอดพุ่งพรวดล่าสุดระหว่างเขียนต้นฉบับถึง 177 คน สามวันหลังตก 30 กว่าคนต่อวันและเริ่มมีการติดแบบกลุ่มและขยายวงมากขึ้น สถานการณ์น่าเป็นห่วง รัฐบาลเกรงว่าขืนปล่อยอย่างนี้ จะเอาไม่อยู่ จำเป็นต้องใช้ยาแรง
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ต้นตอมาจาก 2 จุดหลัก ๆ คือ สนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมามาโป๊ะแตกตรงดาราที่เป็นพิธีกรบนเวที ติดเชื้อโควิด19 หลังจากนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหลายคนก็พลอยติดไปด้วย รวมทั้งบรรดาเซียนมวยที่นี่แห่งเดียวที่ตรวจแล้วพบว่าติดเชื้อ 20 กว่าคนแล้วเชื่อว่าจะติดอีกหลายคนเพราะเวทีสนามมวยถือว่าเสี่ยงสุด ๆ
อีกจุดหนึ่งที่กลายเป็นกลุ่มเสี่ยง คือ กลุ่มวัยรุ่นที่ไปเลี้ยงฉลองกันทั่วเมืองและไปจบที่ผับแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ และกำลังขยายวงไปในกลุ่มเครือญาติคนใกล้ชิด ซึ่งสองจุดนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด จนนำมาสู่การปิดสถานบริการชั่วคราว
จะเห็นว่า ผู้ป่วยทั้งหมดส่วนใหญ่ แทบจะไม่ได้เกิดจากคนไปขายแรงงานที่เกาหลีใต้ที่ คนมีอันจะกินเรียกเขาว่า”ผีน้อย”ตรงนี้จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลตัดสินใจ “กึ่งชัตดาวน์”กรุงเทพฯและปริมาณฑล หลังจาก”บุรีรัมย์”ประกาศปักธงปิดเมือง ไปก่อนเป็นจังหวัดแรก ตามด้วยอุทัยธานี หลังจากนี้คงมีจังหวัดอื่น ๆ ทะยอยตามซึ่งก็เป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง หลังจากที่ทนรอการตัดสินใจจากส่วนกลางไม่ไหว
ในมุมมองของระบบสาธารณสุข การตัดวงจรการแพร่กระจาย 2 สัปดาห์ นี้จะช่วยลดการลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้ระดับหนึ่ง ถือว่า เป็น”การรักษาชีวิตคน”ไว้ให้มากที่สุด
แต่น่าสนใจ การปิดสถานบริการ ผู้ประกอบการอาจจจะกระทบบ้าง อย่างแหล่งบันเทิงผับ อาบอบนวด ฟิตเนส เจ้าของกิจการพวกนี้ต้องมีภาระค่าเช่า ซึ่งอยู่ในทำเลที่ค่าเช่าค่อนข้างแพง แต่คนที่เดือดร้อนหนักที่สุด ก็คงเป็น”พนักงาน”พวกลูกจ้างคนกลุ่มนี้ บางคนก็อาจจะรับเป็นเดือน และบางคนรับเป็นรายวัน
บางแห่งจ่ายเป็นเงินเดือนก็จริง แต่วันที่ไม่ได้ทำงานก็อาจไม่ได้เงิน แต่คนที่รับเป็นรายวันคนพวกนี้ลำบากที่สุด รายได้หาย สมมติว่าได้วันละ 300-500 บาทโดยเฉลี่ย เงินหาย 6,000 กว่าถึง 7,000 กว่าบาท บางคนก็หมื่นกว่า คนพวกนี้จะขาดรายได้ทันที แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ค่าน้ำค่าไฟค้าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายจิปาถะ
ทางออกก็คงจะต้องกู้เงินนอกระบบมาบรรเทาทุกข์ไปก่อน เดิมคนพวกนี้ก็มีหนี้ท่วมหัวอยู่แล้ว เพราะดอกเบี้ยมหาโหด ส่วนหนึ่งก็จะกลับบ้านต่างจังหวัด ก็ไม่รู้ว่านำเชื้อไปเผยแพร่หรือไม่
อันที่จริงหากรัฐบาลคิดให้รอบคอบ และเป็นธรรมกับคนกลุ่มนี้ น่าจะมีกองทุนสำหรับให้กู้กู้ปลอดดอกเบี้ยแบ่งเบาภาระในช่วง 2สัปดาห์ หรือ จ่ายชดเชยให้กับคนเหล่านี้ไปเลย บางส่วนอย่างน้อยให้เขาได้ตั้งหลักเตรียมตัวที่จะอยู่อย่างคนไม่มีงานทำไม่มีรายได้
แม้มาตรการที่รัฐบาลออกมาคุมเข้มคนกลุ่มหนึ่งปรบมือเชียร์ แต่ก็ได้สร้างความทุกข์ระทมให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง และเป็นผลกรรมที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น แต่เกิดจากบรรดาลูกหลานคนที่มีอันจะกิน พวกไฮโซ ทั้งหลายที่ไม่รับผิดชอบที่ทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อน
สุดท้าย คนระดับรากหญ้าที่มาเป็นลูกจ้างหาเช้ากินค่ำที่อยู่ในวงจรนี้นับหมื่น ๆ คนต้องรับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ!