ข่าว

ตัดสินคดี"ชลอ"อุ้มฆ่าแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์16ต.ค.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดี “ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีต ผบก.ประจำกรมตำรวจ ” กับลูกน้องชุดติดตามเพชรซาอุ ฯ รวม 9 คน “ อุ้มฆ่าแม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ” เจ้าของร้านเพชร หวังรีดข้อมูลหาเพชรที่หายไป นักธุรกิจไทยในซาอุฯชื่นชมดีเอสไอคดีนักธุรกิจซาอุฯ

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 15 ต.ค.52 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 16 ต.ค.) เวลา 09.30 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดี “อุ้มฆ่า แม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ” ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชร ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ , พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีตสว.สส. สภ.อ.เมือง ปราจีนบุรี (ขณะนั้น), จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี (เสียชีวิต) , ด.ต.สมนึก เวชศรี อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.สระแก้ว, นายวีระชัย พลทิแสง, นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ, นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือฉายา พงษ์ ปากกว้าง ,นายสมหมาย พุดเทศ (เสียชีวิต) ,และนายสุภาพ ช่างสาย (เสียชีวิต) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ, หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ และความผิดอื่นรวม 9 ข้อหา

 โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.45 ให้จำคุกตลอดชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ฯ และให้จำคุกตลอดชีวิต พ.ต.ท.พันศักดิ์ จำเลยที่ 2 , นายนิคม จำเลยที่ 6 และนายสำราญ จำเลยที่ 7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ พร้อมให้จำคุก 4 ปี จ.ส.ต.ยงค์ จำเลยที่ 3 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนจำเลยที่ 4 ด.ต.สมนึก พิพากษายกฟ้อง สำหรับ นายวีระชัย จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย จำเลยที่ 8 ให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

 ต่อมาโจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษ ขณะที่จำเลยที่พล.ต.ท.ชลอ , พ.ต.ท.พันศักดิ์,นายนิคมและนายสำราญ จำเลยที่ 1- 2 , 6 - 7 อุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง เนื่องจากไม่ได้กระทำผิด

 โดยวันที่ 3 มี.ค. 49 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1, 2, 6 และ 7 ฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจริงตามฟ้อง โดยแก้โทษ พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 จากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิต เนื่องจากศาลเห็นว่ากระทำผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนฆ่าผู้อื่นโดยเจตนและไต่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อาญา ม. 83 ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และมีความผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ ส่วน พ.ต.ท.พันศักดิ์ , นายนิคม และนายสำราญ จำเลยที่ 2, 6 -7 พิพากษายืนศาลชั้นต้น ให้จำคุกตลอดชีวิตฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ โดยขณะนี้ พล.ต.ท.ชลอ กับพวก ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ศาลอาญาจะได้เบิกตัวมาฟังคำพิพากษาฎีกา

 สำหรับ จ.ส.ต.ยงค์ จำเลยที่ 3 ได้เสียชีวิตขณะอุทธรณ์คดี จึงให้จำหน่ายออกจากสารบบความ ส่วนนายวีระชัย จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย จำเลยที่ 8 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือนนั้น ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งอัยการโจทก์-จำเลยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดี ทำให้คดีของจำเลยที่ 5 และ 8 ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองมาบังคับคดีตามคำพิพากษาแล้ว

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 37 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างเช้าวันที่ 2 ก.ค.-1 ส.ค.37 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาเพชรและทรัพย์สินมีค่าของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุลอาซิซ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่นายเกรียงไกร เตชะโม่ง อดีตคนงานไทยที่เข้าไปทำงาน ได้ลักเพชรและนำเข้ามาในประเทศไทย ได้สืบสวนแล้ว เชื่อว่านายสันติ เจ้าของร้านเพชรชื่อดังรู้ว่าเพชรอยู่ที่ใด แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ออกหมายเรียกตัวนายสันติมาสอบสวน แต่กลับร่วมกับจำเลยที่ 5-9 ลักพาตัว ภรรยาและบุตรชายของนายสันติไปจากบ้านพักย่านตลิ่งชัน และนำตัวไปกักขังไว้ที่บังกะโล “กวีวิลล่า” อ.สระแก้ว จ.ปราจีนบุรี แล้วใช้ของแข็งตีที่ศีรษะ และร่างกายของทั้งสองหลายแห่งจนถึงแก่ความตาย ก่อนจะลักทรัพย์สิน รวมมูลค่า 560,000 บาทไป จากนั้นนำร่างผู้ตายทิ้งไว้ในรถยนต์เบนซ์ของนางดาราวดี แล้วขับรถมาจอดทิ้งไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านริมบึง ถ.มิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเพื่ออำพรางคดีว่าถึงแก่ความตายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อปกปิดความผิดของพวกจำเลยดังกล่าว

นักธุรกิจไทยในซาอุฯชื่นชมดีเอสไอคดีนักธุรกิจซาอุฯ

 ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  นายประทิน สาตรพันธ์ ประธานชมรมคนไทยในประเทศซาอุดิอาระเบีย กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ( ดีเอสไอ )  กระทรวงยุติธรรม ได้ขออนุมัติออกหมายจับ นายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของ นายมูฮัมหมัด อัลลูไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย และเป็นเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซาอุฯ ที่หายสาปสูญไปในประเทศไทยเมื่อเกือบ20 ปีที่ผ่านมา และเชื้อว่าถูกอุ้มฆ่าโดยเจ้าหน้าที่ของไทย ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางการซาอุฯให้ความสำคัญตลอดมา ก่อนที่จะเกิดเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดีมาก ในอดีตเรามีคนงานทำงานในซาอุฯมากกว่า 3 แสนคน แต่พอเกิดเรื่อง ปัจจุบันมีคนไทยทำงานในซาอุฯเพียง2,000 คนเท่านั้น เพราะเค้าไม่ยอมออกวีซ่าให้คนงานไทยอีกเลย คนที่อยู่ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ในซาอุฯมาก่อน20ปี ส่วนมากจะประกอบอาชีพเปิดร้านอาหารไทย เปิดซุปเปอร์มาเก็ต แต่เรามักประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะคนไทยมาทำงานไม่ได้ เราต้องจ้างคนงานชาติอื่น ที่ผ่านมาถือว่าประเทศไทยสูญเสียรายได้มหาศาลจากแรงงานที่ไม่สามารถมาทำงานในประเทศนี้ได้

 นานยประทิน กล่าวต่อว่า พอมีข่าวการออกหมายเรียกตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตนรู้สึกดีใจและขอบใจเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษที่ตั้งใจทำงานจนสามารถนำคดีนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นผลสำเร็จ เพราะที่ผ่านมา ทางการไทยมีการตั้งชุดสืบสวนสอบสวนคดีนี้มาแล้วหลายชุด เดินทางไปให้ข้อมูลในเรื่องเดิมๆกับทางการซาอุฯ ซึ่งเค้าก็รู้อยู่แล้วเป็นเรื่องเดิมๆ เค้าไม่ต้องการหรอกบางเรื่องเค้ารู้มากกว่าเราอีก เค้าแค่อยากให้ทางการไทยแสดงความจริงใจว่าได้ตั้งใจทำคดีนี้อย่างเต็มที่ นำคนผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนผลคดีจะออกมาอย่างไรเค้าไม่ว่าหรอก ขอแค่ไทยแสดงความจริงใจกับเค้าในเรื่องนี้เท่านั้น

 ประธานชมรมคนไทยในประเทศซาอุดิอาระเบีย กล่าวด้วยว่า นายอัลลูไวรี่ คนนี้ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุฯ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง มีครอบครัวในซาอุฯ4 ครอบครัว มีทรัพย์สมบัติมหาศาล การหายตัวไปเฉยๆ ทำให้ครอบครัวของเค้าไม่สามารถแบ่งทรัพย์สินกันได้ เค้าจึงพยายามตามคดีมาโดยตลอด หากเรื่องนี้สามารถคลี่คลายลงได้ เชื่อว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศของเราคงดีขึ้นมาก เพราะเท่าที่ทราบทางการซาอุฯ ก็มีความยินดีที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุน รวมทั้งการทูตกับไทยให้เหมือนแต่ก่อน ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ตนขอชื่นชมในการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่สามารถนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ ซึ่งต่อไปคนไทยและคนซาอุฯ อาจจะกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สร้างความเจริญในภาคธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง

บัวแก้วชี้ส่งผลความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีขึ้น

นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงคดีอุ้มฆ่านายอัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาว่า ในแง่ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ซาอุดิอาระเบีย เดินหน้าตามปกติ ซึ่งความคืบหน้าของการดำเนินคดีดังกล่าวย่อมมีผลต่อภาพรวมของความสัมพันธ์ของสองประเทศดีขึ้น ทั้งนี้ในการดำเนินคดีดีเอสไอจะประสานแจ้งไปยังรัฐบาลซาอุฯให้ทราบอย่างเป็นทางการโดยตรง
 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ