Lifestyle

วิธีรักษา 'รอยสิว' เร่งด่วน รอยดำ รอยแดงจากสิว แก้ไขได้ด้วยวิธีเหล่านี้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

มี 'รอยสิว' ไม่หายสักที ทำยังไงดี? รอยแดง รอยดำจากสิว ทุกปัญหาผิวแก้ไขได้แค่รักษารอยสิวให้ถูกวิธี กับ 10 วิธีการรักษาที่คนเป็นสิวต้องรู้

การรักษา รอยดำรอยแดงจากสิว อาจไม่ง่ายดายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะทำได้ หากได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและถูกวิธี ก็มีโอกาสที่รอยสิวจะจางลงได้เร็วยิ่งขึ้น ฉะนั้น หากใครที่กำลังเผชิญกับภาวะนี้อยู่ อย่าเพิ่งกังวล ให้บทความนี้เป็นตัวช่วยดีๆ ให้คุณ 


รอยสิว (Acne Scars)


รอยสิว (Acne Scars) คือ รอยแผลที่เกิดขึ้นหลังจากผิวหนังบริเวณนั้นเผชิญกับปัญหาการอุดตันรูขุมขน การอักเสบต่างๆ เช่น การเกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบ โดยยิ่งสิวมีระดับความรุนแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแนวโน้มที่จะทิ้งรอยสิวหลังจากสิวหายไปแล้วมากขึ้นเท่านั้น 


ลักษณะของรอยสิวที่ปรากฏ สามารถพบได้ทั้งรอยดำสิว รอยแดง หลุมสิว หรือรอยแผลเป็นนูน ขึ้นอยู่กับสาเหตุของรอยสิวแต่ละประเภทและสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากสนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง รอยสิว คลิกได้ที่นี่

 

รอยสิวเกิดจากอะไร


แล้วรอยสิวเกิดจากอะไรกันแน่? ขึ้นชื่อว่า “รอยสิว” ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดงจากสิว รอยหลุมสิว หรือแผลเป็นนูน แท้จริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่…

 

  • มีพฤติกรรมกดสิว บีบสิว แคะ แกะสิวบ่อยๆ 
  • เกิดการอุดตันรูขุมขน ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นอักเสบ เกิดสิวชนิดต่างๆ ที่มีความรุนแรงมาก ทำให้เมื่อสิวหายไปแล้วอาจทิ้งรอยสิวไว้
  • ผิวหนังบริเวณนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหายจากการเป็นสิว ทำให้เกิดรอยแดงจากสิวขึ้น        
     

 

 

รู้จักรอยสิวแต่ละประเภท

 

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น รอยสิว สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

1. รอยแดงจากสิว

รอยแดงจากสิว (Post – Inflammatory Erythema) คือ รอยที่มีลักษณะเด่นเป็นจุดสีชมพู แดง หรือม่วง มักเกิดจากการที่ผิวหนังอักเสบ ร่างกายเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูซ่อมแซมเนื้อเยื่อ มีการลำเลียงสารอาหารต่างๆ ผ่านทางหลอดเลือดไปยังบริเวณที่มีการอักเสบ ทำให้เรามองเห็นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นรอยแดง 

 

2. รอยดำจากสิว

รอยดำจากสิว (Post – Inflammatory Hyperpigmentation) จะมีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาล สีเทา หรือสีดำที่บนผิวหนัง เกิดจากการที่ผิวหนังบริเวณนั้นอักเสบหรือระคายเคือง เกิดการกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์(Melanocytes) ให้ผลิตเมลานินออกมามากกว่าปกติ เราจึงเห็นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นรอยดำ น้ำตาล หรือสีเทานั่นเอง โดยการรักษารอยดำนั้น จะมีความล่าช้ากว่าการรักษารอยแดง เนื่องจากรอยดำมักจะเกิดขึ้นที่บริเวณชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไป

 

3. รอยหลุมสิว

รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) คือ การที่ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอักเสบและได้รับความเสียหายอย่างมาก ทำให้ร่างกายต้องฟื้นฟูบาดแผลด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทดแทน แต่อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมบางครั้งอาจไม่สามารถทำให้ผิวกลับไปเรียบเนียนได้ดั่งเดิม เนื่องจากมีการบาดเจ็บที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อในปริมาณที่เพียงพอได้ ก็จะส่งผลให้เกิดรอยหลุมสิว          

 

4. แผลเป็นนูนจากสิว

แผลเป็นนูนจากสิว (Hypertrophic scars) คือ การบาดเจ็บบริเวณชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ลึกใต้ผิว เมื่อร่างกายต้องการซ่อมแซมฟื้นฟู ก็จะสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทดแทน หากร่างกายสร้างเนื้อเยื่อในปริมาณที่มากจนเกินไป ก็อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูนขึ้นมาจากผิวหนังได้ โดยแผลเป็นนูนจากสิว จะมีลักษณะนูนแข็ง สามารถเกิดได้ทั้งรูปแบบสีชมพู สีแดง สีเนื้อเข้ม มักเกิดบริเวณจมูก กราม หน้าอก ไหล่ และหลัง

 

 

แนะนำ 10 วิธีรักษารอยสิว ที่คนเป็นสิวต้องรู้

 

 

1. เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน

หลังจากที่สิวหายไปแล้วทิ้งรอยสิวไว้ ร่างกายจะเข้าสู่ระยะการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหายบริเวณนั้น การที่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการใช้ชีวิตประจำวัน จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยรักษารอยสิวให้จางหายไปได้เร็วขึ้น

 

2. ยาทารักษารอยดำรอยแดงจากสิว

การเลือกใช้ยาทารักษารอยดำรอยแดงจากสิว สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารประกอบดังต่อไปนี้

  • วิตามินซี (Vitamin C) : ลดรอยดำรอยแดงหรือรักษารอยสิวเก่าที่มาจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบี (UVB) ได้
  • วิตามินบี 3 หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) : สามารถช่วยรักษารอยแดงจากสิว ต้านการอักเสบ และปรับความสมดุลให้น้ำมันภายในผิว
  • เรตินอยด์ (Retinoids) : สารเรตินอยด์ ช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีของผิว จึงทำให้รอยดำสิวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มักจะต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • กรดโคจิก (Kojic Acid) : สามารถลดการสร้างเม็ดสี ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ กระจ่างใส รอยดำแลดูจางลง
  • อาร์บูติน (Arbutin) : สารสกัดทางธรรมชาติที่ได้มาจากบลูเบอร์รี่ แบร์เบอร์รี่ แพร และข้าวสาลี ทำให้ช่วยในเรื่องของรอยดำจากสิว การรักษาจุดด่างดำ ฝ้า กระ ต่างๆได้อีกด้วย
  • ไทอามิดอล (Thiamidol) : สารรักษาจุดด่างดำจากสิว และความแห้งกร้านของผิว

 

3. ครีมที่มีส่วนประกอบของคอร์ติโซน

การใช้ครีมที่มีส่วนประกอบของคอร์ติโซน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับคนที่ต้องการรักษารอยแดงจากสิวธรรมชาติ เนื่องจากคอร์ติโซนจะเข้าไปช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวหนัง ทำให้รอยสิวค่อยๆ ยุบตัวลง อีกทั้งยังสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวกตามร้านขายยาทั่วไปด้วย 

 

4. ฉีดสารสเตียรอยด์รักษารอยสิวชนิดแผลเป็นนูน และคีลอยด์

การฉีดสารสเตียรอยด์เพื่อรักษาสิว เป็นวิธีที่ปลอดภัยและค่อนข้างไม่เจ็บมากนัก โดยปกติแล้วมักจะใช้รักษากับรอยสิวชนิดที่เป็นแผลเป็นนูนและคีลอยด์ แต่ไม่เหม่ะกับการรักษารอยแดง รอยดำจากสิว และแผลเป็นหลุม วิธีการรักษา แพทย์จะนำสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูน เพื่อทำให้บริเวณนั้นยุบลง

 

5. การใช้เลเซอร์รักษารอยสิว

เลเซอร์สามารถใช้เพื่อรักษารอยดำจากสิวเร่งด่วน รอยแดง หรือหลุมสิวต่างๆได้ โดยแสงเลเซอร์จะเข้าไปช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ลดเม็ดสีและหลอดเลือดฝอยส่วนเกิน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวทดแทน

 

รอยสิวกี่วันหาย รักษารอยสิวให้หายขาดได้ไหม

 

หากคุณเป็น รอยสิว ทั่วไป อย่างรอยดำรอยแดงจากสิวที่ไม่เข้มมากนัก รอยสิวเหล่านั้นจะสามารถค่อยๆจางหายไปเองได้ แต่รอยสิวที่เข้ม หรือมีลักษณะเป็นหลุมลึกมาก หรือรอยสิวที่เป็นแผลเป็นนูน คีลอยด์ อาจทิ้งร่องรอยไม่จางหายไปทั้งหมดแบบรอยสิวทั่วไป จึงจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

สำหรับคำถามรอยสิวหายเองได้ไหม กี่วันกี่เดือนจึงจะหาย โดยทั่วไปแล้ว รอยดำ รอยแดงจากสิวที่ไม่เข้มมากนัก หากไม่ได้เข้ารับการรักษา จะสามารถค่อยๆจางลงโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4-8 เดือน

 

แนวทางการดูแลไม่ให้เกิดรอยสิว

 

1. ปกป้องผิวจากแสงแดด

รู้หรือไม่ว่า “แสงแดด” เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ผิวคล้ำเสีย เกิดรอยดำและจุดด่างดำได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนในการกระตุ้นเม็ดสีผิวและยับยั้งการฟื้นฟูผิวของเราได้อีกด้วย ฉะนั้น เราควรปกป้องผิวจากแสงแดด ร่มที่มีวัสดุป้องกันยูวี หรือ ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนทำกิจกรรมนอกบ้าน

 

2. หยุดบีบ กด แกะ แคะสิว

หยุดพฤติกรรมบีบ กด แกะ แคะสิว หากยังต้องการดูแลผิวให้สดใสปราศจากรอยสิว เพราะการกระทำทั้งหลายในข้างต้น อาจนำไปสู่การอักเสบ เกิดแนวโน้มของการมีรอยสิว รอยดำ รอยแดง อีกทั้งยังทำให้ผิวฟื้นฟูตนเองได้ช้าลงอีกด้วย

 

3. เติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

การที่ผิวจะสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างเต็มที่ คงต้องมีสารอาหารบำรุงและความชุ่มชื้นภายในผิวที่สมดุล เพื่อให้ผิวเสริมสร้างความแข็งแรงเพิ่มขึ้น และเมื่อผิวมีความแข็งแรงก็จะทำให้แนวโน้มในการเกิดปัญหาผิวต่างๆ ลดลงไปด้วย

 

4. ใช้ผลิตภัณฑ์รักษารอยสิว

ก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ควรพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์นั้นๆ การดูส่วนผสม หรือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกซื้อ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโทษต่อผิวหนังได้

 

5. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมวิตามินอี

จากงานวิจัยหลายๆ ส่วน พบว่า เมื่อกลุ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมวิตามินอีเข้าสู่บริเวณรอยแผลเป็นโดยตรง ส่งผลให้เกิดภาวะผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) หลายราย จึงแนะนำว่า หากต้องการดูแลผิวในช่วงสภาพผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีเหล่านี้

 

6. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลรักษารอยสิวใดๆ ก็คงไม่เท่ากับการเข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพราะการเข้ารับคำปรึกษา จะช่วยให้การเลือกวิธีการรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ปลอดภัย ตรงจุด ส่งผลให้รอยสิว รอยดำ รอยแดงจากสิวต่างๆจางลงได้เร็วยิ่งขึ้น และกระบวนการฟื้นฟูผิวสามารถทำได้โดยไม่ถูกรบกวน

 

ข้อสรุป

 

รอยสิว (Acne Scars) สามารถพบได้ทั้งรอยดำ รอยแดง หลุมสิว หรือรอยแผลเป็นนูน ถึงแม้ว่าในทั่วไปอาจจางหายเองได้ แต่ในบางรายที่มีระดับความรุนแรงของอาการมาก หรือรอยสิวที่เกิดจากหลุมลึก มีแนวโน้มที่รอยจางหายไปไม่หมด จำเป็นต้องเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อรักษาได้อย่างตรงจุดนั่นเอง

 

สำหรับใครที่สนใจจะเข้ารับบริการจาก M Vita Clinic เอ็มวีต้าคลินิก สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line@ : @mvitaclinic หรือเบอร์ 081-492-2626


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ