โชคชะตา "ปรีชาพล" เกม "เสี่ยง" ต้องเสี่ยงสูง

           “สู้ต่อไปในยามยากลำบาก Fighting through the hard time” เป็นประโยคแรกที่ “ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช” หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ลงเฟซบุ๊กของเขาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 หลังเกิดปรากฏการณ์พลิกประวัติศาสตร์ในคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562

          หากแต่ก่อนหน้านั้นสองวันคือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เขากล่าวด้วยความรู้สึกคนละอย่าง ตอนหนึ่งว่า

           “เราเริ่มเห็นแสงสว่างและมีความหวังว่าประชาธิปไตยของบ้านเราจะกลับมาสวยงามอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทษช.พร้อมแล้วครับที่จะทวงคืนสิทธิเสรีภาพและเดินหน้าแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเคียงข้างกับพี่น้องประชาชน”

          แต่แล้วทุกอย่างมันไม่สวยงามแบบนั้น ปรีชาพล คงซึ้งแล้วในวันนี้

 

ปรีชาพล คนหนุ่ม

 

          ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หรือ “ป๋อม” เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2523 เป็นบุตรของ เสริมศักดิ์ กับ ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช

          ป๋อม แต่งงานสร้างครอบครัวกับ "ออย" นภัสวรรณ พันธ์เจริญวรกุล คนในตระกูลการเมืองแห่งอยุธยา ซึ่งแม่ยายป๋อมไม่ใช่ใครเลยคือ “เจ๊สมทรง” หรือ “สมทรง พันธ์เจริญวรกุล” นายก อบจ.อยุธยา 3 สมัย คนที่มีลูกชายไปเป็นผู้สมัครส.ส.อยุธยา พรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งงวดนี้นั่นแหละ

          ป๋อมกับออยมีโซ่ทองคล้องใจเป็นลูกสาวฝาแฝดวัยกำลังน่ารัก ชื่อ “น้องลนา” และ “น้องลิดา” ชีวิตส่วนตัวของเขาหลังว่างเว้นจากงานในหน้าที่จะทุ่มเทให้ลูกและภรรยาเกือบทั้งหมด

          ส่วนในด้านการศึกษาป๋อมเรียนจบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ ออสเตรเลีย ส่วนปริญญาโท จบด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลีย

 

 

          กระทั่งได้เข้ารับราชการทหารติดยศร้อยตรี ประจำสำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม ต่อมาย้ายมาช่วยราชการกระทรวงมหาดไทย เมื่อครั้งเสริมศักดิ์ ผู้เป็นพ่อ นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

          ต่อมาในปี 2550 ร.ท.ปรีชาพล ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ขอนแก่น เขต 2 พรรคพลังประชาชน งานนี้แน่นอนว่า ได้รับการผลักดันอย่างสุดตัวจากพ่อและแม่จนได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส. ที่มีอายุเพียง 27 ปี นับว่าเป็นส.ส.ชายที่มีอายุน้อยที่สุด

          แต่แล้วช่วงปี 2553 เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ส.ส. 6 คน พ้นสมาชิกภาพ กรณีถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อและบริษัทที่เป็นคู่สัมปทานของรัฐ ซึ่ง ร.ท.ปรีชาพล เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่เขาก็ยังสามารถกลับเข้ามาเป็นส.ส.ได้อีกครั้ง ในการเลือกตั้งซ่อม

          ที่สุดในการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายก่อนรัฐประหารของคนไทย คือในปี 2554 ป๋อมได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ขอนแก่น ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสารและโทรคมนาคมของสภาผู้แทนราษฎร

          กระทั่งพายุทางการเมืองนำพาเขามาจนถึง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ที่ในการประชุมใหญ่ของพรรคไทยรักษาชาติ ครั้งที่ 1/2561 ร.ท.ปรีชาพล ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค

 

ลมแห่งชะตากรรม

 

          แน่นอน ร.ท.ปรีชาพล อาจเป็นส.ส.ชายที่มีอายุน้อยที่สุด แต่วันที่คนหนุ่มวัย 39 เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของพรรค คือการเป็นหัวหน้าพรรค มันคนละแบบ

          จะด้วยเดียงสาทางการเมืองน้อยหรืออย่างไร ปรีชาพลและแกนนำพรรค#อายุน้อยร้อยล้าน หลายคนพากันตีปีกกับความเป็นตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตยหวังจะชนะเผด็จการโดย “วิธีพิเศษ”

          แต่ผลคือตรงกันข้าม ทษช.กลับกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า “กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามความเห็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 7 คน

 

 

          อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยคนสุดท้ายอย่าง จาตุรนต์ ฉายแสง เจอยุบพรรคไทยรักไทยในช่วงที่เขามีอายุ 51 ปี ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมามาก

          อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยผู้ล่วงลับ บรรหาร ศิลปอาชา เจอยุบพรรคชาติไทยช่วงที่เขามีอายุ 76 ปี ผ่านความรู้สึกบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไทยมาแล้ว

          ปรีชาพลไม่เจนสนาม ไม่เจนการเมืองหรือไร แม้ขนาดดีลช็อกโลกที่ล้มครืน เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์ยังระบุตรงกันว่างานนี้ผู้ใหญ่เดินเกมพลาดจนเป็นเหตุให้เด็กๆ ต้องรับกรรม

          แถมมุมนี้นอกจากทำให้ผู้คนตีความได้ว่ามีการครอบงำพรรค ทษช.จากคนนอกจริง แต่ภาพลักษณ์ "ผู้นำของหนุ่มป๋อมยังดร็อปลงไปอีกด้วย

          ดังนั้นนาทีนี้ใครจะเหนื่อยเท่าหัวหน้าพรรคหนุ่มคนนี้เป็นไม่มี และถ้าวันที่ 7 มีนาคมที่จะถึงนี้ ศาลมีคำตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ตัดสิทธิรับสมัครเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค

          ไม่ใช่แค่ความวิตกกังวลของผู้สมัครส.ส.ทั้ง 284 คน ของพรรคที่เหมือนงงๆ หลงทิศ แต่สำหรับปรีชาพลในฐานะหัวหน้าพรรคก็จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปด้วย “ตลอดชีวิต” เป็นการแพ้รบตั้งแต่ยังไม่สวมเกราะด้วยซ้ำ