บันเทิง

สัมภาษณ์พิเศษ : ล้วงลึกสายใย 'ลูกน้ำ-ตูมตาม' 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ตูมตาม" ยุทธนา เปื้องกลาง และ "ลูกน้ำ"  ทิดาลัด  พระนางจากละคร "ดอกคูนเสียงแคน" เปิดใจหมดเปลือก

 

 

    ทีมบันเทิง คมชัดลึก -  ลงจอไปแล้วสำหรับละคร “ดอกคูนเสียงแคน” ทางช่อง GMM25 ที่นำแสดงโดย “ตูมตาม” ยุทธนา เปื้องกลาง และ “ลูกน้ำ”  ทิดาลัด  เจ้าของมงกุฎนางสาวลาวแห่งปี 2011 ซึ่งก่อนละครจะลงจอพระนางคู่นี้เจอมรสุมรักซ้อนมือที่สามเข้าอย่างจัง จนถูกกระแสว่าจะไม่ดูละคร “บันเทิง คม ชัด ลึก” มีโอกาสได้พูดคุยกับทั้งคู่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
 

    @@ ร่วมงานกันครั้งแรก
    ที่มาที่ไปทำไมถึงมาร่วมงานกันในละครเรื่อง “ดอกคูนเสียงแคน” ได้

    ตูมตาม : จริงๆ แล้วดอกคูนเสียงแคน เป็นละครที่ผมได้ยินจากผู้จัดการเล่าให้ฟังว่าเขาติดต่อมาได้สักพักหนึ่งแล้วเป็นละครอีสาน ซึ่งผมเองก็รับละครอีสานค่อนข้างเยอะ ก็เลยคุยกับทางผู้จัดการว่าจะรับละครเรื่องนี้ไหม ทุกคนรออยู่ คือถ้าเราไม่ได้เขาก็ต้องหาคนอื่นมาเล่นแทน คือตอนนั้นผมเองมีละครหลายเรื่องและมีคิวค่อนข้างน้อย จัดสรรเวลาค่อนข้างยาก ก็เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวไปคุยกับทางผู้กำกับก่อน ซึ่งพอคุยกันแล้วก็เหมือนตกลงกัน โอเคเราก็เลยเริ่มงานได้เลย เพราะทุกคนรออยู่ ซึ่งตอนนั้นผู้กำกับ ก็บอกแล้วว่านางเอกของเราก็คือน้องมิสลาว ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ทั้งที่จริงๆ เคยเจอบ่อยมากกับป้ายโฆษณาของเขา (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคือคนนี้ แล้วก็มาเจอกันวันฟิตติ้ง


    ลูกน้ำ : หนูไปแคสละครเรื่องนี้เพราะเขาบอกว่าเป็นละครแนวอีสาน ก็สนใจทางด้านอีสาน เพราะว่าภาษาใกล้เคียงกัน พอเล่นแล้วจะทำให้เราเข้าใจง่ายมากขึ้น ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะได้เหมือนกัน เราก็ไปแคสเหมือนสนุกๆ หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อกลับมาว่าได้เล่น ซึ่งตอนนั้นเขาก็บอกว่าพระเอกคือพี่ตูมตามแต่ไม่รู้ว่าจะได้คิวไหมต้องดูก่อน จากนั้นเขาค่อยมาบอกว่าลงตัวที่พระเอกคือพี่ตูมตาม ซึ่งหนูพูดตรงๆ เลยว่าตอนแรกหนูไม่รู้จักพี่เขาเลยเพราะด้วยความที่หนูเองก็ไม่ได้ดูเดอะสตาร์ด้วยแหละ คือพี่เขาไม่ได้ผิดนะพี่เขาดังอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราเองไม่ชอบดูแนวแบบเดอะสตาร์ก็เลยไม่ได้ติดตามพี่เขา เลยไม่รู้จักว่าพี่ตูมตามคือใคร แต่พอรู้ว่าจะได้เล่นร่วมกันก็ไปค้นหาข้อมูลและรู้ว่าเขาคือคนนี้ แล้วก็มาเจอเขาจริงๆ คือวันที่ฟิตติ้ง

 

    เจอกันวันแรกต้องละลายพฤติกรรมกันยังไง
    ตูมตาม : คือวันที่เขาฟิตติ้งเป็นวันที่จริงๆ แล้วผมไม่ต้องเข้าไป เพราะผมถ่ายอีกกองนึง แต่บังเอิญพักเที่ยงพอดีก็เลยเข้าไป สรุปคือโดนจับถ่ายฟิตติ้งเลย ซึ่งผมก็โอเค เพราะเราเองก็รู้จักทีมงานหมดอยู่แล้ว แต่จะมีน้องบางส่วนที่อาจจะยังไม่รู้จัก คือผมเป็นคนที่ซนแล้วก็ทะลึ่ง ผมก็เลยหยอกเล่นทั้งที่เราไม่ได้รู้จักเขาเลย ซึ่งผมก็ไม่สนไง ผมอยากให้มันสนุกเฉยๆ ผมก็เข้าไปทำทุกอย่าง บรรยากาศก็เฮฮาขึ้น คนก็เริ่มสนุก เลยกลายเป็นว่าทุกคนก็สนิทกันตั้งแต่วันนั้น ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่เครียด ตั้งแต่วันแรก

    ลูกน้ำ : พี่เขาเป็นคนที่เข้ากับคนได้ทุกคน ทำให้ทุกคนกล้าเข้าหาคนอื่น กองนี้สนุกได้เพราะเขาจริงๆ อย่างพี่ข้าวทิพย์ เป็นคนเรียบร้อยมากไม่ค่อยพูด น้ำเองเป็นคนที่พูดมากกว่าด้วยซ้ำ หลังๆ มานี่พี่ข้าวทิพย์พูดเยอะกว่าน้ำด้วย จะแซวกันเล่นสนุกเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน

    ตูมตาม : บรรยากาศกองในวันแรกของการทำงานคือวันฟิตติ้ง ซึ่งอันดับแรกเราอยากจะให้ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว เพราะในกองมีหลายๆ คนต่างคนต่างมา บางทีก็อาจจะยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน คือผมเข้าไปผมก็เอามุกตลกก่อนแหละ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร คืออยากแกล้งทุกคน ผู้กำกับทีมงานเขาก็เฮฮาด้วย ซึ่งบรรยากาศดีตั้งแต่วันแรกที่ฟิตติ้งจนถึงวันถ่ายวันสุดท้ายจริงๆก็ยาวมาถึงตอนนี้ที่ละครออนแอร์และเรายังได้ทำงานโปรโมทด้วยกัน มันทำให้การทำงานง่ายขึ้น เอาจริงๆ นะ ทุกวันนี้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ คือน้องๆ ทุกคนเหมือนมีผู้กำกับมีผู้จัดเป็นเหมือนพ่อเป็นแม่ที่คอยดูแลลูกๆ ทำให้ทุกคาแรกเตอร์ของตัวละครมันไม่ต้องพยายามเล่น เพราะมันเหมือนในชีวิตจริง

 

 

สัมภาษณ์พิเศษ : ล้วงลึกสายใย \'ลูกน้ำ-ตูมตาม\' 

 

 

    ละครเรื่องนี้ดราม่าหนักแค่ไหน
 
   ตูมตาม : ดราม่าหนักมาก เรียกว่าเป็นละครดราม่าที่สุด เป็นละครที่เล่นแล้วเหนื่อยหัวใจที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาเลย จริงๆ ผมเองก็เล่นละครดราม่ามาเยอะแต่เรื่องเนี้ยเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าหนักใจและรู้สึกเหนื่อยหัวใจอยู่ตลอดเวลา ด้วยเนื้อเรื่องของมันคืออยากให้ไปดู คือรายละเอียดเยอะมาก จะบอกว่าเป็นละครที่เจอฉากแต่ละฉาก คือถอนหายใจอ่ะ (หัวเราะ) คือทำไมรู้สึกว่าชีวิตมันเป็นขนาดนี้ แล้ววิธีการเล่าของผู้กำกับ หรือการที่เขาได้ทีมโปรดักชั่นมา ในการทำงานทำให้เราเข้าใจง่ายมาก เป็นชีวิตที่เราเข้าใจได้ ในส่วนของน้อง (ลูกน้ำ) ก็ถือเป็นงานหนักของน้องเหมือนกัน แต่น้องเขาเป็นคนมีเรื่องราว มีประสบการณ์ในตัวเขาเยอะมากเพราะเขาเองก็สู้ชีวิตมาเหมือนกัน เท่าที่น้องเล่าให้ฟัง พอในเรื่องเขาต้องมาเจอความลำบากเขาก็เลยเข้าใจความรู้สึก เพียงแต่วิธีการที่จะนำออกมา หรือแสดงออกมา จะต้องปรับจูนยังไง เป็นเรื่องของหน้างานอีกทีหนึ่ง แต่น้องทำได้

    ลูกน้ำ : คือเรื่องนี้หนูค่อนข้างเครียดมาก มีช่วงแรกๆ ที่นอนไม่หลับ คือเหมือนกับว่าถ้าวันรุ่งขึ้นจะต้องเข้าซีนที่ร้องไห้คืนนั้นหนูจะนอนไม่หลับเลย เครียดมาก เพราะหนูเองก็ไม่เคยแสดง และต้องมาแสดงกับคนที่เก่งๆ ด้วย เราไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเขา ก็เลยต้องทำการบ้านเยอะ คือหนูจะอ่านบทอยู่ตลอดจนทุกคนในกองแซวว่าหนูปลีกวิเวก แต่พอหลังๆ มาพี่ๆ เขาก็ช่วยกัน ยังพี่ตูมตามเองเขาก็สอนในเรื่องของการแสดง ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นหลังๆ ก็เลยเริ่มชิล เริ่มสบายมากขึ้น แต่ช่วงหลังๆ ก็หนักอีก คือก่อนจะจบดราม่าหนักมาก

 

   โดยปกติลูกน้ำเป็นคนร้องไห้ยากไหม

    ลูกน้ำ : หนูเป็นคนเซนซิทีฟแต่เรื่องที่เราเข้าใจมันจริงๆ แต่ถ้ากับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยหนูจะไม่รู้สึกเลย คือถ้ารู้สึกก็คือรู้สึก คือบางทีเจอแค่คำพูดเดียวกับคนที่ทำให้เรารู้สึก หนูก็ร้องไห้ออกมาได้เลย แต่กับบางคน ไม่ว่าพูดออกมาเยอะมากแค่ไหนหนูก็อาจจะไม่รู้สึกเลย หนูเป็นคนเซนซิทีฟกับเรื่องความรู้สึก
  

 

 

 @@ มรสุมดราม่า
    ช่วงที่ถ่ายละครคู่กันก็มีเรื่องราวปัญหาเข้ามา ความรู้สึกทั้งคู่ในตอนนั้นเป็นยังไง

    ตูมตาม : ผมว่ามันเป็นความแปลกอย่างนึงที่เกิดขึ้นกับพวกเรา คือถ้าจะพูดขำๆ คือในละครก็ไม่ได้สมหวังอยู่แล้ว นอกจอก็ดันเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา เราก็มานั่งคิดทบทวนนะว่าก็ดี ก็ไม่เป็นไร แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ แล้วก็ทำงานกันต่อไป ทำให้เราเข้าใจในอีกส่วนหนึ่งได้มากขึ้นในการใช้ชีวิต
    ลูกน้ำ : ในตอนนั้นน้ำเองโฟกัสกับงานมากกว่า พอเข้ากองปุ๊บ คือซีนหนูจะเยอะมาก ซึ่งช่วงเวลาตอนนั้นในละครที่ต้องถ่ายก็ดราม่าด้วย ก็เลยไม่ยากเลย ไม่ต้องบิวท์อารมณ์อะไรเลย (หัวเราะ) เห็นหน้าก็ร้องไห้แล้ว
    ตูมตาม : ในฐานะนักแสดงบางโมเมนต์เราก็นึกไม่ออกแต่พอ เจอเรื่องราวอะไรมากระทบ บางครั้งมันก็ช่วยนะ มันทำให้งานเต็มที่แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องโฟกัสที่งานเป็นอันดับแรก

 

 

    รู้สึกว่าต้องระวังตัวไหมเพราะหลายคนจับจ้องในความใกล้ชิดของทั้งคู่
    ตูมตาม : อย่างที่ผมบอกว่าผมกับน้องเป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่แรกๆ อาจจะสนิทขึ้น รู้จักกันมากขึ้น มีปรึกษากันตลอด ตามวาระโอกาสนั้นๆ ไป เพียงแต่ว่าสุดท้ายมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติด หรือคุยกันไม่ได้ ทำงานก็ทำงานปกติ ทุกคนเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว คือถึงความสัมพันธ์ของเราจะถอยกลับมา แต่เราก็สามารถทำงานกันได้

    ลูกน้ำ : ใช่ ทำได้ เพราะว่าที่ผ่านมาเราก็คุยกันมาตลอด พี่ตามเขาเป็นคนที่ินิสัยดีมากๆ เป็นคนที่คิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ พอเกิดเรื่องเขาก็ให้กำลังใจเราตลอด
    ตูมตาม : ในตอนนั้นผมไม่ได้ห่วงใครเลย ผมไม่ได้รู้สึกว่า ....อ่ะใครจะว่าอะไรผมก็ได้ สิ่งที่เสียใจที่สุดในสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมเสียใจที่เรื่องมันไปกระทบคนอื่นมากมาย โดยเฉพาะน้อง ทั้งที่มันเป็นเพราะผม หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ผมเลยรู้สึกว่าไม่สบายใจที่สุดก็คือเรื่องนี้ เพราะสำหรับตัวผมเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมโอเค ผมพร้อมที่จะรับมัน
 

 

สัมภาษณ์พิเศษ : ล้วงลึกสายใย \'ลูกน้ำ-ตูมตาม\' 

 

 

    วันแรกที่มีเรื่องเกิดขึ้นแล้วตูมตามไปเจอหน้าลูกน้ำ บอกอะไรเขา
    ตูมตาม : ทำได้แค่บอกว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เราจะค่อยๆ ผ่านมันไปด้วยกัน ดูไปเรื่อยๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในสิ่งที่เรายอมรับคือนั่นคือเรื่องจริง แต่สิ่งอื่นๆ เป็นเรื่องความเข้าใจผิด คือนานาจิตตังแล้ว และเราไม่อยากมานั่งอธิบาย มาพูดซ้ำๆ ย้อนไปย้อนมากับเรื่องเดิมๆ เพียงแต่ว่าความจริงมันคืออะไร คือสิ่งที่เราได้พูดได้บอกไปหมดแล้ว

 

    วันนี้พอมองย้อนกลับไปเราได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง
    ตูมตาม : ผมก็ไม่รู้สิ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ความจริงมันเป็นแค่เรื่องของพวกเราที่เกิดขึ้น แต่อื่นๆ เป็นเรื่องที่คนอื่นเข้าใจผิด วิพากษ์วิจารณ์ หรืออะไรก็ตามที่คนคิด คนเห็นแล้วเข้าใจ เป็นความเข้าใจผิดแบบบังเอิญ หรือเป็นความเข้าใจที่คิดว่าความคิดตัวเองถูกก็ตาม มันเกิดจากความเลื่อมล้ำเวลา หรือความผิดจังหวะในหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งผมรู้สึกว่าผมไม่รู้ว่าจะออกมาอธิบายอะไร ไม่รู้จะออกมาอธิบายได้แค่ไหน เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราพึงกระทำเสมอก็คืออย่างน้อง (ลูกน้ำ) อยู่ในกอง ทำงานด้วยกัน เราให้กำลังใจกันตลอด เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าที่เราจะไปมัวห่วงเรื่องข้างนอก เราอาจจะไม่มีแรงทำงานกัน ก็ช่วยเหลือดูแลความรู้สึกกันไปเรื่อยๆ ก็สู้กันต่อไป

    ลูกน้ำ : หนูก็โดนเยอะ เพราะเหมือนเราก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต เป็นครั้งแรกที่มาเจอเรื่องแบบนี้ หนูก็รับไม่ได้ ช่วงแรกๆ ก็ร้องไห้ แต่พอหลังๆ เริ่มเข้าใจว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอมาถึงจุดนี้แล้วมองย้อนกลับไปก็เหมือนเป็นบทเรียนให้เราเหมือนกัน ที่ตอนนั้นเราไม่ออกมาพูด เพราะสภาพจิตใจมันไม่ได้ พอพูดถึงเรื่องนั้นก็จะเซนซิทีฟมากๆ คือเรา      

    อยากรักษาสภาพจิตใจตัวเองก่อน

    ตูมตาม : น้องหนักมากๆ หนักจนแบบ .... คือผมก็หนักนะ แต่ผมพยายามอดทน พยายามใช้ชีวิตให้ดี เพราะพอเราหันไปมองน้องคือเขาโดนหนักมาก
    

 

    “ลูกน้ำ”เคยโทษ“ตูมตาม”หรือโทษใครไหมที่ทำให้เรามาเจอแบบนี้
    
ลูกน้ำ : ไม่เคยโทษเขา หรือใครเลย เหมือนตบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว หนูไม่ได้โทษใคร ถ้าจะโทษก็คือโทษตัวเองมากกว่าที่ไม่ได้ระวัง เพราะด้วยตัวของเราเองเป็นเด็กบ้านนอกที่เข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่และก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่กันยังไง คือเราก็อยู่ในสังคมอีกแบบหนึ่ง ที่นี่ก็เป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง เรื่องดราม่าก็มีให้เห็นอยู่ตลอด บางคนก็รับได้บ้างก็ไม่ได้ สำหรับน้ำตอนนี้เข้าใจแล้วว่าห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ ดีไม่ดีอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ในใจตอนที่เกิดเรื่องแรกๆ อยากจะพูดมากๆ เลยนะ แต่เรารู้ว่าพอคนโกรธจะไม่ฟัง ซึ่งคนทั้งโลกเป็นแบบนี้หมด โอเคงั้นเราหยุดก่อนก็ได้ และตอนนั้นอยากรักษาจิตใจตัวเองด้วย คือตอนนั้นมันช้ำที่สุด ช้ำเพราะคนเข้าใผิด ช้ำในสิ่งที่เราทำไป ช้ำเพราะคนต่อว่าเรา เพราะทุกอย่างกระทบเราหมด อย่างที่บอกตอนแรกว่าหนูเป็นคนรับความรู้สึกเร็วมาก เลยทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าคนอื่น
  

 

 

สัมภาษณ์พิเศษ : ล้วงลึกสายใย \'ลูกน้ำ-ตูมตาม\' 

 

 

 

    ผ่านช่วงนั้นกันมาอย่างไง
    
ตูมตาม : ก็ช่วยเยียวยากัน คือเอาจริงๆ ระยะเวลาในช่วงแรก มีช่วงที่เราใกล้ชิดกันมากๆ แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่สัปดาห์เอง และสุดท้ายเราสองคนก็คุยกันอยู่แล้วว่ามันไม่โอเค พอเราได้รู้จักหลายๆ มุมมากขึ้น เราเลยหยุดเรื่องของเราเอาไว้ก่อน และเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากพูด เพราะว่าให้พูดตรงๆ คือมันเป็นความงี่เง้าของคนมีความรักที่มันเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ผมว่าสังคมก็ไม่ได้ต้องการรู้ขนาดนั้น เพราะไม่จำเป็นต่อชีวิตใคร แล้วเรื่องราวมันก็ผ่านมา พอเกิดเรื่องเกิดราว ผมอยากจะบอกตรงนี้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดหลังจากที่เราตัดสินใจยุติทุกอย่างหมดแล้ว

 


    งั้นขอถามตรงๆ ว่า“ตูมตาม”ไม่ได้คบซ้อน คือจบคนหนึ่งแล้วค่อยเริ่มคบกับอีกคน
    ตูมตาม : ใช่ คือผมกับความรักครั้งเก่า เราได้บอกเลิกกันไปนานแล้ว เพียงแต่วันที่เราบอกเลิกกัน ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมจะต้องบอกประชาชนวันนั้นว่าเราจบกันแล้ว เพราะการที่เราเลิกกันมันก็เป็นเรื่องของเรา ไม่ได้บอกว่าเราเลิกกันวันที่เท่าไหร่ ก็ทิ้งเวลามาอีกเป็นเดือน กับคนเก่าผมก็เจอกันพูดคุยกันได้ เป็นช่วงที่เราตัดสินใจที่จะแยกทาง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะตัดขาดกัน คือจะฉีกเลยทีเดียวก็จะเจ็บปวดเกินไป มีเจอกันบ้าง วันรับปริญญาผมเขาก็ยังมา แต่ลึกๆ เรารู้อยู่แล้วว่าเลิกกัน และผมได้บอกเขาไปแล้วว่าไม่ได้ซ้อน อาจจะไม่ได้บอกต่อหน้า แต่มีโอกาสได้โทรคุยและบอกเขาไปแล้วว่าไม่ได้มาทับซ้อน

 


    เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่งผลมาถึงว่าคนจะไม่ดูละครเรื่องนี้
    ตูมตาม : จริงๆ ก็กลัวนะ เพราะเราเป็นห่วงคนอื่นๆ ที่ทำงานด้วยกัน เพราะเขาก็ตั้งใจ แล้วมันมาเสีย ไม่ยากให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งทีมงานทุกคนก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดจังหวะไปหมด โดยเฉพาะน้อง (ลูกน้ำ) เขาเป็นคนคิดดีอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน พอเรารู้ว่าไม่โอเคก็รีบตัด รีบหยุดทุกอย่างเอาไว้ตรงนั้น เพราะเราก็ต้องทำให้มันถูกต้อง ถูกต้องในที่นี้อาจจะไม่ใช่ว่าให้สังคมมารับรู้อะไร แต่ถูกต้องในชีวิตจริงที่เราอยู่กัน คือเราเลยเลือกทางที่ดีที่สุด

 


    ยืนยันว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดเราคิดว่ามันถูกต้อง
    ตูมตาม : ผมก็ทำในสิ่งที่ควรทำ ถ้าย้อนกลับไปผมก็เลือกที่จะทำแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้มองว่ามันผิดอะไร เพราะความจริงมันไม่ใช่แบบที่รู้กัน แต่เหตุการณ์ที่เราต้องหยุด เพราะว่าเราไม่อยากกระตุ้นให้เป็นปัญหาอย่างที่เขาพูดจริงๆ คือเราหยุดความสัมพันธ์ของเราก่อนที่จะเป็นข่าวออกมาเสียอีก หยุดก่อนที่จะมีเรื่องมีราวอะไรเกิดขึ้นอีก คือเราสองคนคุยกันแค่ประมาณสัปดาห์หรือสองสัปดาห์เท่านั้นเอง และก็กลับมาเป็นพี่น้องกัน แล้วมีข่าวโจมตีกันไปมาและเกิดเป็นกระแสมากมาย และผมไม่อยากมานั่งอธิบาย หรือขยี้อะไรเยอะ อย่างที่บอกทุกอย่างมันจบไปแล้ว"
    นี่แหละ....ความในใจจาก “ตูมตาม” และ “ลูกน้ำ”

 

 

 

สัมภาษณ์พิเศษ : ล้วงลึกสายใย \'ลูกน้ำ-ตูมตาม\' 

 

สัมภาษณ์พิเศษ : ล้วงลึกสายใย \'ลูกน้ำ-ตูมตาม\' 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ