"โอไมครอน" จับตา "สายพันธุ์ล่องหน" BA.2 หากดื้อวัคซีนแรงกว่า จบโรคประจำถิ่น
หมอเฉลิมชัย ประเมิน "โอไมครอน" สายพันธุ์ล่องหน BA.2 หากรุนแรง และดื้อวัคซีนหนักกว่า BA.2 คำว่า "โรคประจำถิ่น" เลือนลาง และห่างไกลออกไป
(24 ม.ค.2565) น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความ อัปเดตสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ "โอมิครอน" หรือ "โอไมครอน" ระบุว่า เหนื่อยใจจริง ไวรัส "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อยที่ 2 "BA.2" ทำท่าจะแพร่เร็วกว่าสายพันธุ์หลักเดิม (BA.1) ในขณะที่หลายประเทศในทวีปยุโรป ประสบกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วกว้างขวาง
ของ "ไวรัสโอมิครอน" สายพันธุ์หลัก หรือสายพันธุ์ย่อยที่ 1 (BA.1) จนเข้าสู่พีคของการระบาดในระลอกใหม่อย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อวันละนับ 100,000 ราย โดยที่มีผู้ป่วยหนักจำนวนไม่มากนัก เมื่อคิดเป็นร้อยละเทียบกับเดลตา แต่ถ้าคิดเป็นรายบุคคล หรือรายเตียง ก็เป็นภาระกับระบบสุขภาพมากพอสมควร
นพ.เฉลิมชัย ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลบางประเทศเชื่อว่า โควิดโดย "โอมิครอน" ได้ผ่านพีคแล้ว และกำลังวางแผนจะผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ลง เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป ในวงการวิทยาศาสตร์ของยุโรปกำลังไม่แน่ใจในแนวทางดังกล่าว เพราะเริ่มพบข้อมูลบางอย่างของไวรัส "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อยที่ 2 ที่เรียกว่า "สายพันธุ์ล่องหน"(Stealth) ทำท่าจะแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่ 1 โดยขณะนี้พบไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่ 2 แล้วใน 40 ประเทศ และพบอย่างชัดเจนในประเทศเดนมาร์กและอังกฤษ UKHSA : UK Health Security Agency หน่วยงานทางด้านสาธารณสุขของอังกฤษ ได้จัดให้ไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่ 2 (BA.2) เป็น VUI : Variant Under Investigation เรียบร้อยแล้ว
"สายพันธุ์ย่อยที่ 2" นี้ พบเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 โดยจุดที่แตกต่างกับสายพันธุ์ย่อยที่ 1 คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่ง 69 และ 70 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้การตรวจ PCR สงสัยทันทีว่า จะเป็นไวรัส "โอมิครอน" และนำไปสู่การถอดรหัสจีโนมเพื่อยืนยันได้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งดังกล่าว ไม่พบในสายพันธุ์ย่อยที่ 2 การตรวจ PCR ก็จะไม่สงสัยว่าเป็น "โอมิครอน" จึงเรียกว่า "สายพันธุ์ล่องหน" คือตรวจได้ยากขึ้น ไวรัสโคโรนาซึ่งก่อโรคโควิด จะมีวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆเนื่องจากเป็นไวรัสสายพันธุ์เดี่ยว มนุษย์จึงต้องติดตามรายละเอียดเรื่องต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา
"ไวรัสโอมิครอน" (Omicron) หรือ B. 1. 1.529 ขณะนี้ค้นพบ 3 สายพันธุ์ย่อยได้แก่ BA.1 , BA.2 , BA.3 โดยสายพันธุ์ย่อย BA.1 เป็นสายพันธุ์หลักในขณะนี้ เพราะมีความสามารถในการแพร่ระบาดที่รวดเร็วที่สุด ได้เกิดการระบาดไปแล้วกว่า 160 ประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ เริ่มพบว่า มีบางประเทศพบ BA.2 แพร่ระบาดเร็วกว่า BA.1 เช่นในประเทศเดนมาร์กเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดโควิดเป็นสายพันธุ์ BA.2 ตามมาด้วยประเทศอังกฤษ นอร์เวย์ และสวีเดน แต่ในสายพันธุ์ย่อยที่สอง BA.2 ซึ่งทำท่าจะแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง BA.1 ก็พบว่าทำให้อัตราการนอนโรงพยาบาลไม่แตกต่างกัน หรือความรุนแรงในการก่อโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น ส่วนการดื้อต่อวัคซีนจะเป็นอย่างไรจะต้องติดตามกันต่อไป
นพ.เฉลิมชัย ระบุทิ้งท้ายว่า ถ้าสายพันธุ์ BA.2 แพร่เร็วกว่าจริง ก็จะเกิดการระบาดกลายเป็นสายพันธุ์หลักแทนสายพันธุ์ BA.1 แต่ยังคงเป็นไวรัส "Omicron" อยู่ ในกรณีที่โชคดี สายพันธุ์ BA.2 มีความรุนแรงหรือการดื้อต่อวัคซีนเท่าเดิม ทุกอย่างก็จะเป็นในลักษณะของ Omicron ในปัจจุบัน แต่ถ้าโชคไม่ดี สายพันธุ์ BA.2 มีความรุนแรงหรือการดื้อต่อวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ก็จะกลายเป็นสถานการณ์ที่มีการระบาด ที่นอกจากจะกว้างขวางรวดเร็วแล้ว ยังจะมีการเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือการดื้อต่อวัคซีนเกิดขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นวิกฤตของโลกอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ความหวังเรื่องโรคประจำถิ่นเลือนลาง และห่างไกลออกไปอีก คงจะต้องติดตามข่าวโดยเฉพาะเรื่องทางระบาดวิทยาของไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่สอง (BA.2) กันอย่างใกล้ชิดต่อไป เหนื่อยใจจริง