"วิทยา"ชี้เศรษฐกิจไม่กระทบรพ.รัฐ สั่งสปสช.ทบทวนงบชงครม.ใหม่

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีแนวโน้มจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นว่า นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รายงานให้ทราบถึงผลกระทบของผู้ประกันตนที่ว่างงานและจะย้ายสิทธิ์จากประกันสังคม (สปส.) มาอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งสปสช.ได้เสนอของบกลาง 1,900 ล้านบาท มาดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่ครม. ได้ให้สปสช.กลับไปทบทวนงบส่วนนี้ใหม่ เนื่องจาก สปส.ยังดูแลผู้ประกันตนต่อไปอีก 6 เดือน ช่วงนี้จึงยังไม่กระทบต่อสปสช.มากนัก “สปสช.จะต้องจัดทำตัวเลขเสนอของบกลางใหม่ และเสนอกลับเข้าครม.อีกครั้งประมาณเดือนกันยายน หรือตุลาคมนี้ โดยสปสช.จะต้องคำนวณจากผู้ประกันตนที่ย้ายสิทธิ์มาอยู่กับสปสช.จริง เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งนพ.วินัยให้ความมั่นใจว่าระหว่างที่ยังไม่ได้งบกลาง จะไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารกองทุนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สปสช.ยังมีงบพอรองรับปัญหาเบื้องต้นได้ ส่วนงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2553 เบื้องต้นสปสช.ได้เสนอขอ 2,694.43 บาทต่อประชากร เพิ่มจากเดิม 492.43 บาท” นายวิทยากล่าว นายวิทยากล่าวอีกว่า ผู้ป่วยมาใช้สิทธิ์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพิ่มขึ้น มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นการรักษาโรคแบบไม่คิดค่าตอบแทน รักษาฟรี และ 2.ปัจจุบันมีผู้ป่วยสูงวัย ป่วยเป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ไม่เคยรู้ว่ามีห้องฉุกเฉิน (ไอซียู) ของโรงพยาบาลใดต้องปิด และไม่ทราบข่าวว่ามีโรงพยาบาลเอกชนใดต้องให้พนักงานออกจากงาน แต่ช่วงที่มีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ 1 สัปดาห์ อาจมีโรงพยาบาลได้รับผลกระทบบ้าง แต่หลังจากเปิดใช้สนามบินก็คืนสู่สภาพปกติ ทั้งนี้ ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการชาวต่างชาติ จะแถลงข่าวในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 10.00 น. ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ซอยศูนย์วิจัย ส่วนกรณีโรงพยาบาลบางกอก 9 เอ็นเตอร์แนชั่นแนลนั้น ไม่เคยทราบมาก่อน