ข่าว

จับทัวร์จ้างไกด์เถื่อนลอยแพนักท่องเที่ยว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รวบบริษัทท่องเที่ยวข่มขู่ลูกทัวร์ให้ซื้อแพ็กเกจเพิ่ม หากปฏิเสธจะกลั่นแกล้งไม่ยอมให้กุญแจห้องพัก - ปล่อยลอยแพ


               21 มิ.ย. 59  เมื่อเวลา 16.00 น. กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (บก.น.4)  พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ สายันประเสริฐ พ.ต.อ.ประเสริฐ เงินยวง รอง ผบก.ทท. พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า รอง ผบก.น.4  พ.อ.จิรสิทธิ์ จันทรมี ผบ.บก.ควบคุม ร.2 รอ. พ.ต.อ.เกื้อกมล ดวงประทีป ผกก.1 บก.ทท. พ.ต.ท.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ สว.ส.ทท.กก.1 บก.ทท. ร่วมกับนายอธิพงศ์ แสงศิลป์ หัวหน้างานกิจการพิเศษและตรวจสอบธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กรมการท่องเที่ยง นายโสภณ บำเทิงเวชช์ รอง ผอ.สำนักตรวจสอบภาษีกลางกรมสรรพากร และนายสาโรจน์ สุวัตถิกุล รองอธิบดีกรกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงผลจับกุม น.ส.ซานซาน บดีภัทรกุล อายุ 36 ปี นายหลิง เซี่ยน อายุ 52 ปี ( Mr.Lui Qing Zhong ) สัญชาติจีน และนายสมบัติ บดีภัทรกุล อายุ 54 ปี พร้อมอุปกรณ์สำนักงาน เอกสารใบจองรถ จองโรงแรม ตารางนำเที่ยว รวมถึงเอกสารต่างๆ ในการประกอบธุรกิจนำเที่ยว หลังพบร่วมกันเปิดบริษัททัวร์เถื่อน ข่มขู่นักท่องเที่ยวซื้อแพ็กเกจเพิ่ม หากไม่ยินยอมก็จะลอยแพนักท่องเที่ยว

               พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เนื่องจากวันที่ 19 มิ.ย. เวลา 00.30 น. ได้รับแจ้งจากลูกทัวร์ว่า มัคคุเทศก์บริษัท นิว ไท่ ว่าน กั๋ว ทราเวล จำกัด บังคับขายโปรแกรมทัวร์และไม่ยอมให้กุญแจห้องพักกับนักท่องเที่ยวจำนวน 37 คน เหตุเกิดที่ รร.อาร์คอน ซอยนาเกลือ 16 อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตรวจสอบทราบชื่อ น.ส.นันทกานต์ หรือ ตาล กัณหาสินธุ์ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70/92 ม.5 ซอยบ้านหนองตาเล็ก ต.หมากแห้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี จากการสอบสวน น.ส.นันทกานต์ รับสารภาพเป็นมัคคุเทศก์รับผิดชอบกรุ๊ปทัวร์ดังกล่าวจริง โดยมีนายหลิงเป็นมัคคุเทศก์ร่วมด้วย และเป็นผู้บรรยายแนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงจัดการเรื่องห้องพัก  

               เจ้าหน้าที่จึงจับกุมบุคคลทั้ง 2 โดยแจ้งข้อหา เป็นมัคคุเทศก์ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่มีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์แทนตน กับ น.ส.นันทกานต์ และแจ้งข้อหา นายลี จุงคุน ( Mr.Li Jinkun ) อายุ 28 ปี ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ข้อหา เป็นมัคคุเทศก์ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่มีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์แทนตน

               ขณะเดียวกันได้ขอหมายค้นศาลจังหวัดมีนบุรี เข้าตรวจค้นบริษัท ไท่ ว่าน กั๋ว ทราเวล จำกัด จำกัด เลขที่ 4 / 136-137 ซอยรามคำแหง 147/2 ถนนรามคำแหง แขวง-เขตสะพานสูง กทม. ซึ่งมี น.ส.ซานซาน เป็นเจ้าของ ซึ่งนายหลิง เซี่ยน จง รับเป็นมัคคุเทศก์ประจำบริษัทดังกล่าว และเป็นมัคคุเทศก์ให้บริษัท นิว ไท่ ว่าน กั๋ว ทราเวล จำกัด ซึ่งมีนายสมบัติเป็นเจ้าของ

               พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ให้เจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยวตรวจสอบบริษัททั้ง 2 บริษัท พบว่า บริษัท ไท่ ว่าน กั๋ว ทราเวล จำกัด ถูกพักใช้ใบอนุญาตจำนวน 6 เดือน ตั้งแต่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนบริษัท นิว ไท่ ว่าน กั๋ว ทราเวล จำกัด ซึ่งมีนายสมบัติเป็นเจ้าของ เพิ่งเปิดหลังจากบริษัท ไท่ ว่าน กั๋ว ทราเวล จำกัด ถูกพักใบอนุญาต แต่เอกสารต่างๆ ภายในบริษัทกับต้องผ่านการอนุญาตจาก น.ส.ซานซาน ทั้งที่ไม่มีชื่อเป็นคณะกรรมการในบริษัท ทำให้บริษัททัวร์ดังกล่าวมีลักษณะการทำงานเป็น “นอมินี” 

               นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตั้งข้อสังเกตว่าทั้ง น.ส.ซานซาน และนายสมบัติ มีบัตรประชาชนไทยและนำบัตรประชาชนดังกล่าวไปจดทะเบียนบริษัททั้งที่ทั้งสองพูดภาษาไทยไม่ได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบที่มาของบัตรประชาชนด้วยว่ามีที่มาหรือทั้งสองมีสัญชาติไทยจริงหรือไม่ พร้อมทั้งนำเอกสารการทำทัวร์ที่ยึดได้ภายในบริษัทไปตรวจสอบและขยายผลต่อไป

               นายอธิพงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทหลายแห่งที่จ้างมัคคุเทศก์ไทยมาทำงานก็จริง แต่จะจ้างมัคคุเทศก์ต่างชาติหรือที่เรียกว่าไกด์เถื่อนเข้ามาทำงานประกบคู่ด้วย เนื่องจากไกด์เถื่อนนั้นจะเก่งภาษามากกว่า โดยการแนะนำสถานที่หรือนำเที่ยวต่างๆ จะเป็นหน้าที่ของไกด์เถื่อนทั้งหมด ทำให้ในบางครั้งข้อมูลที่ให้กับนักท่องเที่ยวอาจจะคาดเคลื่อนจากความจริง อีกทั้งยังเป็นการแย่งงานคนไทยอีกด้วย ทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ในการท่องเที่ยว เพราะเงินที่เข้ามานั้นไม่ได้กระจายออกไปยังคนไทยมากเท่าที่ควร ซึ่งในประเทศไทยนั้นไกด์เถื่อนถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะอาชีพมัคคุเทศก์จะสงวนไว้ให้คนไทยทำเท่านั้นนำนักท่องเที่ยวไป

               ด้านรองอธิบดีกรกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า กรณีประกอบธุรกิจนำเที่ยวซึ่งถูกพักใช้ใบนุญาตไปแล้วและได้เปิดบริษัทขึ้นมาใหม่ หากผลการตรวจสอบพบว่าเป็นจริง ก็จะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินการในเรื่อง นอมินี เพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวต่อไป ในส่วนของอัตราโทษกรณีดังกล่าวจะมีความผิดทางอาญา มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท หากไม่หยุดประกอบกิจการจะมีอัตราโทษปรับเป็นรายวัน วันละ 10,000 ถึง 15,000 บาท

               ขณะที่นายโสภณ (รอง ผอ.สำนักตรวจสอบภาษีกลางกรมสรรพากร) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการตรวจสอบการเสียภาษีของบริษัททั้ง 2 บริษัทนั้น กรมสรรพากรจะนำเอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดได้มาตรวจสอบว่ามีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ หากพบว่ามีการเสียภาษีไม่ตรงตามความเป็นจริงก็จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 

               เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้งสองว่า ประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต , เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมประสานล่ามช่วยแปลภาษาเพื่ออำนวยความสะดวกในการสอบปากคำ หากพบว่ามีการกระทำความผิดในลักษณะอื่นก็จะทำการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน ดำเนินคดี

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ