ข่าว

"สาวซีวิค"ยอมบำเพ็ญประโยชน์ใหม่อีก138ชั่วโมง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลเยาวชนฯ นัดฟังผลคุมประพฤติ “ สาวซีวิค ” เฉี่ยวรถตู้คว่ำตาย 9 ศพ เช้า 23 ส.ค.นี้ หลัง เยาวชนสาว ยอมรับศาลเข้าใจผิด พร้อมเริ่มนับหนึ่ง 138 ชั่วโมงใหม่

            เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดไต่สวนคำร้อง ที่เจ้าพนักงานคุมประพฤติ ขอให้ศาลพิจารณากรณี เยาวชนหญิง จำเลย ผิดเงื่อนไขการคุมประพฤติ ในการบำเพ็ญประโยชน์ คดีขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค เฉี่ยวชนรถตู้โดยสาร สายธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-หมอชิต บนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ เมื่อค่ำวันที่ 27 ธ.ค.53 เป็นเหตุให้คนขับรถตู้และผู้โดยสารเสียชีวิต รวม 9 ราย
 
            โดยวันนี้ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติพร้อมด้วยเจ้าพนักงานคุมประพฤติ และเยาวชนหญิง ได้เดินทางมาศาลเพื่อร่วมกระบวนการไต่สวน ที่เป็นการพิจารณาลับ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในห้องพิจารณาคดี
 
            ขณะที่ฝ่ายผู้ร้อง ได้เตรียม เจ้าพนักงานคุมประพฤติ เป็นพยานเข้าไต่สวนรวม 4 ปาก ซึ่งช่วงเช้า ศาลไต่สวนเสร็จเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 1 ปาก พร้อมยื่นเอกสารประกอบ กระทั่งเวลา 13.30 น. ศาลได้พักการพิจารณา และเริ่มกระบวนการไต่สวนใหม่อีกครั้งในเวลา 14.00 น.ซึ่งหลังจากผู้ถูกคุมประพฤติได้ฟังคำเบิกความของเจ้าพนักงานคุมประพฤติเกี่ยวกับกฎระเบียบแล้ว จึงแถลงต่อศาลว่าที่ผ่านมาไม่ได้กระทำตามกฎระเบียบ จึงจะขอทำกิจกรรมบริการสังคมใหม่ให้ครบถ้วน ศาลจึงนัดพร้อมเพื่อฟังผลการทำกิจกรรมของผู้ถูกคุมประพฤติ ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
 
            ต่อมาเวลา 15.30 น. เมื่อเสร็จสิ้นการพิจารณา พ.ต.อ.ณรัชต์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายฝ่ายผู้ร้องไม่ได้นำพยานอีก 3 ปากเข้าไต่สวน เนื่องจากฝ่ายเยาวชน ผู้ถูกคุมประพฤติ ได้แสดงสปิริตต่อศาลเอง ยอมรับว่าเข้าใจผิดพลาดต่อกระบวนการและสถานที่ในการบำเพ็ญประโยชน์
 
            โดยเมื่อตรวจสอบกิจกรรมบริการสังคม ตามที่ศาลกำหนดให้ผู้ถูกคุมประพฤติ ต้องทำงานดูแลช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางบก เป็นเวลา 3 ปีด้วยการบำเพ็ญประโยชน์เป็นเวลา 48 ชั่วโมงต่อปี รวมเป็นเวลา 144 ชั่วโมง ซึ่งผู้ถูกคุมประพฤติได้ทำการบริจาคโลหิตเป็นเวลา 6 ชั่วโมงตรงตามเกณฑ์แล้ว แต่ส่วนที่เหลืออีก 138 ชั่วโมง ผู้ถูกคุมประพฤติระบุว่าได้ทำการบำเพ็ญประโยชน์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลา 90 ชั่วโมงแล้วโดยเหลือเวลาบำเพ็ญประโยชน์อีก 48 ชั่วโมงนั้น ปรากฏว่าขณะที่ได้ทำการบำเพ็ญประโยชน์นั้นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ายังไม่ใช่ภาคีกับกรมคุมประพฤติ ประเด็นนี้ผู้ถูกคุมประพฤติ ได้ยอมรับว่าเข้าใจผิดพลาดไปในกระบวนการดังกล่าว และยอมที่จะทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ใหม่รวมกับเวลาที่เหลือทั้งสิ้น 138 ชั่วโมง จึงได้มีการเจรจาและทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสถานที่ไว้แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
 
            พ.ต.อ.ณรัชต์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวอีกว่า ขณะที่ในเดือนส.ค.ซึ่งจะครบกำหนดการคุมประพฤติและทำกิจกรรมบริการสังคม ศาลจึงมีคำสั่งนัดพร้อมคู่ความเพื่อฟังผลดำเนินการตามเงื่อนไขของการคุมประพฤติดังกล่าวในวันที่ 23 ส.ค.นี้ หากผู้ถูกคุมประพฤติได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างครบถ้วน ในวันดังกล่าวศาลอาจจะมีคำสั่งว่าผู้ถูกคุมประพฤตินั้นพ้นจากการคุมประพฤติแล้ว แต่สวนที่ศาลเคยมีคำพิพากษาห้ามผู้ถูกคุมประพฤติขับรถจนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์นั้นก็ยังต้องปฏิบัติต่อไป
 
            ส่วนที่ผู้ถูกคุมประพฤติเคยร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคุมประพฤตินั้น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว เมื่อขณะนี้ผู้ถูกคุมประพฤติยอมรับว่าเข้าใจผิดพลาดในกระบวนการทำกิจกรรมบริการสังคมระหว่างคุมประพฤติ
 
            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 55 ว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทำให้ทรัพย์สินเสียหาย คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุก ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี โดยคุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน พร้อมให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์จริงหรือไม่
 
            ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 57 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้แก้ระยะเวลาการรอลงอาญาเป็น 4 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยเป็นเวลา 3 ปี โดยให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลา 3 ปี ส่วนโทษอื่นให้คงตามศาลชั้นต้นซึ่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวถือเป็นที่สุด เมื่อ ศาลฎีกา มีคำสั่งปี 2558 ไม่รับฎีกาของเยาวชนสาว จำเลย ต่อสู้คดี เนื่องจากไม่มีสาระสำคัญจะเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาเดิม
 
            ขณะที่คดีแพ่งที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวยื่นฟ้องบิดา-มารดาของเยาวชน และตัวเยาวชนต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำ 4013/2554 เรียกค่าเสียหาย 113 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนั้น ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 พ.ย.58 ให้จำเลยทั้งสามชดใช้เงินกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นเงินรวม 26,881,925 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ธ.ค.53 ซึ่งเป็นวันที่เกิดเหตุรถพลิกคว่ำ
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ